พระธรรมเทศนา หลวงปู่สอ พันธุโล
เทศนาเมื่อวันที่ 5-12 กันยายน 2546
เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ระมัดระวังให้สร้างสติ สร้างปัญญาของเราให้มันเกิดขึ้น เพื่อจะได้ทำการห้ามตัวนี้ ตัวมันพาเราคะนองอยู่ หมดโลกนี้มันเจอเหมือนกันหมด ใจของเราถ้าเราอบรมให้ถูกทาง ใจของเราจะกลายเป็นของประเสริฐ ขึ้นมาให้เราได้ชมอย่างภูมิใจ ถ้าเราไม่อบรมใจของเรา ไม่มีใครจะมาอบรมให้เราได้ เราอย่าไปสงสัยว่าคนนั้น คนนี้เขาจะมาช่วยเหลือ ช่วยกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าเรื่องกรรม พวกเราทุกคนแหละกรรมพวกเราทุกคนเคยสร้างมา ท่านจึงว่าพวกเราได้สร้างมาอย่างไร เราก็จะได้รับกรรมอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้แล้ว เราจะออกหนีจากรรมให้ได้ กรรมตัวนี้มายึดเรา เราก็ไม่ยึดกรรมเหมือนแต่ก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยออกให้หมด ในร่างกายของเรานี้ก็ปล่อยออกให้หมด เราอย่าไปเชื่อมั่น ตัวนี้มันเป็นตัวอนิจจัง ถ้าว่าอนิจจังมันมีของไม่เที่ยงมันมีอยู่ ความทุกข์มันก็มีอยู่ตัวนี้เพราะฉะนั้นเราปราบปรามห้ามเขาไม่อยู่ ตัวนี้ อันนี้มันก่อทุกข์ใส่เราอยู่ตลอดเวลา บัดนี้ถ้าเราไม่มีสติไม่มีปัญญาก็จะหลบหนีจากตัวนี้ไม่ได้ ก็คล้อยตามัน ๆ อย่างเราเคยเป็นมาอยู่ทุกวันนี้ที่เราได้รับความทุกข์อยู่ตลอด บัดนี้เมื่อเราตายลงไปธาตุขันธ์ของเราเปลี่ยนแปลงแตกสลายดับลงไปแล้วไม่มีอะไรติดตัว
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราสร้างคุณงามความดี ให้เพียงพอให้มีทาน มีศีล มีภาวนา เป็นเส้นทางของพระพุทธเจ้าพาเดิน บัดนี้เราอย่าไปหยุด ทำแต่ข้อที่ท่านมอบไว้ให้แก่เรา ให้เอาเข้า สู่จิต สู่ใจ ของเรา สัมมาฐิติ ความเห็นชอบอันนี้คือความเห็นของเรา มีเรามาภาวนาคือความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นตัวนี้มันคือความเห็นของ สัมมาฐิติ อันนี้ให้เราจำไว้ สัมมาสังกัปโป ความดำริ เราดำริอยากออกหนีจากความทุกข์ ให้เรานึกถึงตัวของเรา สัมมาวาจา การพูดจาปราศรัยของเราก็ค่อยระมัดระวัง บัดนี้ สัมมากัมมันโต การงานทุกสิ่งทุกอย่างให้สวยให้ทำดี สัมมาวายาโม ความเพียรของเราก็เหมือนกัน สัมมาอาชีโว สิ่งที่มันเป็นพิษเป็นภัยแก่ร่างกายเราอย่าเอาเข้ามามันผิดธรรม เราอย่าไปฆ่าสัตว์ ฆ่านั้น ฆ่านี่ เอามาหลอน มันผิด บัดนี้ กรรมตัวนั้นแหละมันเข้ามาสู่ สัมมาสติ สติของเราให้ชอบ ให้ดูแลตัวของเรา สัมมาสมาธิ ให้หนักแน่นในการดูแลอย่างพลั้งเผลอ อย่าไปเผลอตัว สิ่งที่ไม่ดีมันจะลวงเข้ามา สัมมาธรรม แปดข้อนี้ พระพุทธเจ้ามอบไว้ให้แก่พวกเราอันนี้ถ้าเราดำเนินธรรมแปดข้อนี้ได้เราจะมีความสุข อันนี้หนทางพ้นทุกข์ ต้องพ้นได้ทุก ๆ คน แหละ
บัดนี้กรรมมันมาไม่ได้ เพราะว่าธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องรักษาจิตใจของเราอยู่สติของเราก็ให้ดีการกระทำของเราก็ให้ดี การพูดจาก็ดี การคิดทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี เพราะธรรมตัวนี้เขาดูแลเราอยู่ บัดนี้เราก็กลัวเขาจะผิดพลาด บัดนี้ใจของเรามันก็ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ จิตใจของเรามันก็เข้มแข็ง เคยพูดแข็ง ๆ มามันก็อ่อนลงเราสังเกต ธรรมมันกำลังเริ่มเข้าสู่จิตสู่ใจของเราใจของเรากำลังมองแลธรรม เราก็ค่อยรู้จักในตัวของเรา เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเครื่องรักษาเรา เป็นเครื่องรักษาสมบัติธรรม ความไม่ดี ความดี นี่สมบัติภายในตลอดสมบัติภายนอกบัดนี้ดีไปหมด ท่านจึงว่า เมื่อท่านสรุปธรรมท่านแล้วบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว แต่ให้จิตใจของเรามันรู้จริง ๆ อย่าให้พลั้งเผลออย่าปล่อยตัว บัดนี้ความพลั้งเผลอ เราเคยพลั้งเผลอมามันได้อะไร บัดนี้ เพราะฉะนั้นจิตของเราใจของเรามันก็ตั้งสติตั้งตัวขึ้น พอมันตรวจดูแล้ว การงานทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีการเลินเล่อเผลอตัว การงานของเราก็เรียบร้อย การงานของเราก็ไม่เสียหายเหมือนกันกับว่าเรารักษาบ้านของเรา ๆ รักษาดีสิ่งของในบ้านเราก็ไม่ตกเป็นของโจร ของมาร ตัวนี้ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นให้เราฝึกสติของเรา ให้มีสติ มีปัญญา มีศรัทธา มีความเพียร มีพระพุทธเจ้าท่านเดินอยู่อย่างนี้ไม่ว่าจะไปในสังคมหรือสมาคมก็ตาม ให้ระมัดระวังอย่าไปดูคนอื่น ให้ดูตัวของเรา กำหนดจิตของเราดูไป จิตของเรามันจะคิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าภายนอกมันผิด ตัวนี้มันจะแสดงออกมาเองเราก็รู้จิตของเราใจของเรา อะไรจะไปรู้เท่าใจ ใจของเราถ้าความรู้มันเกิดขึ้นแล้วไม่มีอะไรเสมอ
เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าใจของเราเป็นของประเสริฐ ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ การตรวจตราดูตัวของเรานี่ คนอื่นก็เช่นเดียวกันเราอย่าไปเห็นว่า คนนั้นดี คนนี้ชั่ว เหมือนกันกับเรา เท่ากันกับเราไม่นอกเหนือไปเลย ขน เลือด เนื้อ ๆ อันเดียวกัน มีเท่ากัน หู ตา จมูก อะไรเท่ากัน เขาไม่มี ห้าตา หกตา อย่าไปสงสัย อย่าไปสงสัยว่าเขาจะมีหน้า ห้าหน้า หกหน้า ไม่มี มีหน้าเดียวอย่าไปสงสัย ไม่สำคัญในเรื่องนั้น ข้อสำคัญขอให้จิตของเรามันสงบ ใจของมันรู้เป็นพอ เราอย่าไปหลงตามความเสกสรรปั้นยอของความคิด ของความหลอกลวง อันนี้มันอยู่ในนี้ทั้งหมดแหละ บัดนี้มันจะหลอกลวงเราให้เราพลั้งเผลอไป มันก็คิดขึ้นมาว่าอันนั้นดี ตามันก็พลันไปดู หูมันก็พลับไปฟัง มันก็ยึดเข้ามา มายึดแล้วก็ไม่ได้อะไร มันก็ยึดเรื่อยไป หลอกเราให้เราพลั้งเผลอ เวลาเราพลั้งเผลอเราเผลอสติแพลบเดียวเท่านั้น บัดนี้เราไม่รู้จักก็เหมือนกันกับว่ากล้องถ่ายรูปพอตามเรามันแพลบเข้าไป เรื่องมันเข้าไปถึงใจแล้ว เราไม่รู้จัก เหมือนกันกับว่าเขา กดกล้องของเขาแพลบเดียวรูปของเราก็วิ่งเข้าไปหาฟิล์มของเขาแล้ว อันนั้นมันไปติดอยู่ในฟิล์มแล้ว ตัวนี้ก็เหมือนกัน ตัวนี้มันยิงอยู่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนให้เราเฉลียวฉลาด ให้แหลมคมอย่าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่นท่านว่า อันนี้เกิดมา ท่านว่าเรามาหาอะไร เรามาศึกษา เพื่อหาความรู้ความเฉลียวฉลาดของเราให้มันเกิดขึ้นให้รู้กลมายาโลก โลกนี้ไม่แน่นอน เราจะไปโลกไหนถึงจะแน่นอน
พระพุทธเจ้าท่านตรวจดูตัวของท่าน ๆ ท่านจึงได้ออกหนีจากโลกนี้ โลกอันนี้เป็นอยู่อย่างนี้ เราจะไปตำหนิติเขาไม่ได้ มีแต่เราหนีจากเขา มีแต่เราออกจากเขา เราอย่าไปมัดตัวของเราใส่ตัวเขา อันนี้เรามัดตัวของเราใส่ตัวของเรา มันก็พอแรงแล้ว นี้ให้เรารู้ เรามายึดตัวนี้ว่าเป็นเรา เป็นของเราอันนี้เราไม่รู้หรอกว่ากองทุกข์ เมื่อเรารู้จักแล้ว เราปล่อยตัวนี้ออก ตัวนี้มันก็อ่อนไป มันก็ไม่เอาทุกข์มาแผดเผาเรา ความเจ็บปวดโรคภัยไข้เจ็บมันก็ค่อย ๆ หายไปเลย ค่อยหายไปเอง โรคภัยก็ไม่ค่อยมีเพราะเราระงับดับมันได้แล้ว ท่านจึงว่าถ้าไฟไหม้ที่ไหนให้หาน้ำที่นั้นดับไฟ ตาบอดที่ไหนหายาที่นั้นใส่ ยาสติปัญญาของเรานี้เพื่อจะให้ตัวของเรามันรู้มันสว่างขึ้นตาของเรามันรู้ตามของเรามันใส นั้นแหละ น้ำใสใจจริงอันนี้มันลุกขึ้นมา
อันนี้มันรู้หมดมองดูภายในตัวของเรามันรู้หมด เราคิดอย่างนั้น ๆ มันก็รู้ไม่ไปยึดติด เพราะธาตุขันธ์อันเดียวกัน ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเดียวกัน เหมือนกันกับว่าโทรศัพท์ เขาพูดอยู่กรุงเทพฯ เราฟังอยู่ตรงนี้ก็ได้ยินเขาพูดอย่างนั้น ๆ มันติด ๆ กันอยู่วิ่งผ่านไป ผ่านมาเพราะฉะนั้นเมื่อจิตใจเราแจ่มแจ้งแล้วเรามองเห็นหมดว่า คนนั้นตายไปจะไปเป็นนั้น คนนี้ตายไปจะไปเป็นผี คนนี้ตายไปจะไปเกิดเป็นนี้ เรารู้มันอยู่ในจิต ของเรา อยู่ในใจของเรานี่หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เรามีสติให้เรามีปัญญาเพื่อจะแก้ไขตัวของเราหรือปลดเปลื้องตัวของเรา ให้พ้นจากความทุกข์ ความมืดบอดนี้ตัวนี้
พระพุทธเจ้าท่านมีพระเมตตาแก่พวกเรามากท่านจึงสอน อันนี้ให้ตั้งใจฝึกดูใจของเรามันต้องเห็น มันเป็นอย่างนั้น ๆ แหละ มันจะอยู่กับใจของเรา เรื่องเราภาวนาเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ ท่านทั้งหลายนั้นทำไมมันไม่รู้ ทำไมมันไม่เห็นเราตรวจดูมันมี อวิชชาตัณหาตัวนี้มันไปกั้น ไม่ให้เรารู้ ไม่ให้เราเห็น นี่มันปกปิดไว้ บัดนี้อวิชชามันอยู่ที่ไหน บัดนี้เราค้นหา เมื่อเรารู้แล้วเราทำลายตัวนั้นแหละ ทำลายอวิชชาคือความไม่รู้ให้มันตายไปอันนี้มันก็จะเกิดความสว่างแพลบขึ้น ให้เรารู้พอมันแพลบขึ้นจิตของเราใจของเรามันได้รับแสงตัวนั้นนิดเดียวมันก็พอใจแล้ว มันต่อสู้ได้แล้ว มันได้เครื่องมืออันนี้แล้ว ตัวอวิชชามันอยู่ที่นี่ บัดนี้มันเข้าฐานเลยแหละ ดีก็ดีไม่ดีก็พังกันเลยแหละ เข้าเวรมัน มีแต่เรามองตาม ๆ คือผู้รู้นี้ตามคือปัญญาอันนี้ตาม สติตัวนี้มันถางเข้าไป ๆ บัดนี้อวิชชามันก็กระเด็น ออกมันจะสว่างจ้าขึ้นเลยบัดนี้ นั่นแหละเราได้อยู่ในสถานที่ของเขาแล้ว บัดเนื้อวิชชาได้แตกกระเด็นออกจากใจของเขาหมดแล้วบัดนี้ไม่มีอะไรในใจของเราสบาย เหมือนกันกับไฟมันสว่าง บัดนี้เรามอง ดูบาป ดูบุญ บัดนี้เห็นหมด คนทำบาปได้รับกรรมอย่างนั้นอย่างนี้เราก็รู้ จิตของเรามันก็ถอยมันเคยทำมามันก็หยุด อันนี้มันรู้แล้วมันเห็นแล้ว มันเป็นของจริงไม่ใช่ เป็นของปลอมของหลอกลวง
บัดนี้จิตของเรามันหยุดเองถอยเอง บังคับให้มันถือเหมือนเก่าก่อนมันไม่เอาแล้ว มันหันหลังกลับแล้วบัดนี้มันไม่สู้ มันรู้แล้วเห็นแล้ว อันนี้จิตมันปล่อยวางไว้แล้ว เราก็รู้ว่าเราปล่อยวางไว้แล้ว แต่เราอย่าไปพลั้งเผลอ ตัวนี้มีสำคัญที่สุด เราเคยนั่งภาวนา ความเจ็บความปวด มันเคย เจ็บปวดนั่งชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง มันเคยเจ็บ เวทนามันขึ้นมา บัดนี้มันไม่เจ็บ ตลอดคืนก็ไม่เจ็บ สองวันสองคืนก็ไม่เจ็บมันบังคับได้ขนาดนั้น อันนี้ตัวสติปัญญาตัวนี้ไม่มีอะไรจะเสมอเหมือน บัดนี้มันฆ่าอีกเสียด้วย ทุกรูปทุกนามมันไม่เกี่ยวข้อง คนนั้นว่ารูปนี้ดี รูปนี้สวยมันรู้แล้ว มันเห็นแล้ว ตัวนี้มันรู้แล้วมันไม่เอา มันไม่หลงเหมือนแต่เก่าก่อน คืออวิชชาตัวนั้นมันตายแล้ว มันไม่หลงอวิชชาคือความไม่รู้ บัดนี้มันรู้แล้วมันไม่หลงมันไม่ยึด บัดนี้มันมองไปเหมือนกันกับเรา มันตรวจดูตัวของเราแพลบ ตัวของเราเป็นอย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น คือคนอื่นนะภายนอก คือคนอื่นเป็นอย่างนั้น ๆ ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น จะมาโกหกให้เราลุ่มหลง เหมือนอย่างที่เราเคยเป็นมันไม่ลุ่มหลงมันรู้แล้ว นี่ความรู้ตัวนี้มันแตกต่างกันกับความรู้ที่เราจำมา ความที่เราจำมาคือความรู้ของสัญญา ๆ คือความจำ ความรู้ของธาตุของขันธ์ นี่ความรู้ของขันธ์จริง ๆ
เพราะฉะนั้นให้เราดูตัวของเราให้มันละเอียด อย่าไปสงสัยว่าเราจะไม่รู้มันต้องรู้ ถ้าเราสนใจอยู่ เว้นไว้แต่เราไม่สนใจเราไม่มอง มันก็ไม่รู้มันก็ไม่เห็น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันอยู่ที่นี่หมด อันนี้ความเมตตา ของเรา ที่เราได้รับความลำบากมาสักกี่ภพกี่ชาติมา เรามาหลงเมื่อเรามารู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เห็นช่องทางเดินของเราไปเพราะฉะนั้นท่านจึงให้พิจารณาหรือตรวจตราดูตัวของเราว่าเราอยู่กับเครื่องวุ่นวายกับออกมาอยู่อย่างนี้มันแตกต่างกันไหมอันนี้มันแตกต่างกันเราอยู่ตรงนี้มันสงบ ถึงมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาก่อกวนวุ่นวาย จิตใจของเรามันก็สบายถึงแม้จิตของเราไม่สงบมันก็สบายมันไม่มีเรื่องนี้เราสังเกตตัวของเราอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราจึงสำนึกตัวของเราพระพุทธเจ้าออกจากเคหะสถานไปเป็นอย่างนี้ เหมือนกันกับว่าเราออกมาอย่างนี้แหละ คือจิตดวงเดียวกันใจอันเดียวกันก็ต้องเหมือนกันเพราะฉะนั้นท่านว่าใครรู้ธรรมแล้วไม่ได้ถามกันแหละ ธรรมอันเดียวกัน ความรู้อันเดียวกัน รู้แล้วก็แล้วไปไม่ได้ถามกัน ไม่มีการสงสัยอันนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ได้ถามท่านรู้แล้ว องค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ไม่มี อันเดียวกัน คือ ความเห็นความรู้อันเดียวกันทั้งหมด คือทำดีได้ดีทุกคนเหมือนกันหมด ไม่มีใครจะได้ชั่ว เมื่อเราจากกันไปก็ไม่ได้ถามกัน จะไปเจอหน้ากันก็ไม่ได้ถาม จะถามทำไม คนนั้นเขาก็รู้เราก็รู้ มันมีการสมมติ อันนั้นมันหมด คือมันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสมมติ มันเป็นนิมิต คือความหลุดพ้นการเสกสรรปั้นยอ มันเฉย ๆ อยู่ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมกันมันก็เฉย ๆ อยู่ ไม่คิดว่าคนนั้นน้องคนนี้พี่ไม่ได้คิดอย่างพวกเรา ไม่มีน้องไม่มีพี่ ไม่มีสามีภรรยา ไม่มี ๆ แต่รู้ไปหมด คือ รู้อยู่อย่างนั้นแหละ คือจิตของเรามันเป็นบรมสุขแล้ว นี่จิตของเราเฉย ๆ อยู่มันไม่มีการปรุงแต่ง คือความรักความเกลียดอันนี้มันปรุงแต่ง อันนี้มันเป็นของพวกสมมติ อวิชชาสมมติ กิเลสสมติ มีสมมติขึ้นบัดนี้เราไม่รู้จักเราจึงได้ลุ่มหลงไปตามมัน ว่าดีตามเขาว่าชั่วตามเขาอย่างนั้น ไปอยู่ในป่าในดงคนเดียว องค์เดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกันกับอะไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสียง กับกลิ่นกับรส อะไร แต่ขนาดนั้นมันยังตีหัวพระพุทธเจ้าพลับอยู่ขนาดนั้นแหละ
อันนี้มันดีแล้วให้มันเป็นบารมีของเราไว้ มันเป็นหลักของใจ ๆ ของเรา อย่าให้มันดีดดิ้นไปตามเขาว่าดีเราก็เฉย ๆ อยู่เราอย่าไปเก็บเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเผาเรา ดีเราก็ดูตัวของเรา ชั่วเราก็ดูตัวของเรา ก็พอแล้ว เห็นแล้วรู้แล้ว อันนี้มันความที่เขาสมมติขึ้นให้เรารู้จักอารมณ์ เขาว่าดีเราอย่าไปตื่นเต้นเขาว่าชั่วเราอย่าไปหงอยเหงา กั้นไว้ตัวนี้ หรือคนอื่นเขาพูดอย่างนั้นอย่างนี้เราอย่าไปขัดอารมณ์เขามันหายใจอยาก ท่านว่าเมื่อเขาพูดไม่ถูก หรือพูดถูก เราอย่าไปขัดอารมณ์เขา ถูกก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ถูกก็เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา ให้ผ่านไป ๆ อย่าไปกั้นไว้มันหายใจไม่ออก ตัวนั้นมันจะก่อฟืนก่อไฟขึ้นสำคัญเพราะฉะนั้น จึงว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามันละเอียดมาก ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญาไม่รู้ไม่เห็นมัน ตาเราเคยเห็นคนอย่างนั้น ๆ หูเราได้ยินเสียงอย่างนั้น ๆ มันนำมาปรุง อันนี้อย่าให้มันไปหยิบเอา ให้จิตของเรามันปกติมันอยู่เฉย ๆ อยู่อย่างนั้น อันนั้นท่านสังเกตว่าจิตของเรามันปล่อยได้วางได้มันไม่ดีดดิ้นกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านสังเกตอย่างนั้น บัดนี้จิตของเรามันเคยนิ่งมันเคยเป็นปกติอยู่มัน ก็เป็นปกติอยู่ ถึงแม้หูเราได้ยินเสียงก็ตาม ตาเราเห็นรูปก็ตาม มันไม่เกี่ยวข้อง มันอยู่ปกติมันก็คอยรักษาเราอยู่ ให้อยู่ในจิตของเราในใจของเรานี้ หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เรามีสติให้เรามีปัญญา เพื่อแก้ไขตัวของเราหรือปลดเปลื้อง ตัวของเรา ให้พ้นจากความลุ่มหลง คือความทุกข์ ความมืดบอดตัวนี้ นี่พระพุทธเจ้าท่านมีพระเมตตาแก่พวกเรามากท่านจึงสอนอันนี้แหละ
อันนี้อาตมาไปกรุงเทพฯ ได้เห็นลูกศิษย์ทุกคนมีความเมตตาสงสารกัน เราก็เป็นคนหลงมาเหมือนกันทุก ๆ เมื่อรู้แล้วเราพอจะดึงกันขึ้นจากหลุมลึกที่เราตกอยู่ให้มันพ้นไป ถ้าเรายังไม่มีถึงจุดหมายปลายทางของเรา ก็พอได้เป็นเครื่องมือพอได้เป็นเสบียงของเราต่อไปในภพหน้าชาติหน้าอันนี้เราจะได้ดำเนินต่อไปอีก อันนี้ให้เข้าใจจริง ๆ ดูใจของเรามันต้องรู้ มันต้องเห็น มันเป็นอย่างนั้น ๆ มันก็อยู่กับใจของเรานี่แหละ เรื่องเราทำไมมันจึงภาวนาอยู่ที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ธรรมทั้งหลายนั้น ทำไมมันไม่รู้ทำไมมันไม่เห็นเราตรวจดูมันมีอวิชชา ตัณหาตัวนั้นมันไปกั้นไว้ไม่ให้เรารู้ ไม่ให้เราเห็น นี่มันปกปิดไว้ บัดนี้เรา อวิชชามันอยู่ที่ไหน บัดนี้เราค้นหา เมื่อเรารู้แล้วเราทำลายตัวนั้นแหละ ทำลายอวิชชาคือความไม่รู้นั้นให้มันตายไป อันนี้มันก็จะเกิดความสว่าง แพลบขึ้น ให้เรารู้แล้ว บัดนี้พอมันแพลบจิตของเราใจของเรามันได้รับแสงตัวนั้นนิดเดียวมันก็พอใจแล้วมันมีกำลังมันต่อสู้แล้วบัดนี้มันได้เครื่องมือมาแล้ว …โอ้..ตัวอวิชชามันอยู่ที่นี่บัดนี้มันเข้าฐานเลยแหละ บัดนี้ก็ดีไม่ดีก็พังกันเลยแหละ บัดนี้เข้าเวรมันมีแต่เรามองฐาน ๆ คือ ผู้รู้นี้ฐาน คือปัญญาอันนี้ฐาน สติตัวนี้มันถางเข้าไป ๆ บัดนี้อวิชชามันก็กระเด็นออก บัดนี้มันสว่างจ้าขึ้นเลยบัดนี้
นั้นแหละเราได้อยู่สถานที่ของเขาแล้วบัดนี้ อวิชชาได้แตกกระเด็นออกจากใจของเราหมดแล้ว บัดนี้ไม่มีอะไรในใจของเรามันสว่างเหมือนกับหลอดไฟมันสว่างบัดนี้เรามองดูบาปดูบุญ บัดนี้เห็นหมดคนทำบาปได้รับกรรมอย่างนั้น ๆ เราก็รู้ จิตของเรา จิตของเรามันก็ถอย มันเคยทำมามันก็หยุด อันนี้รู้แล้วมันเห็นแล้ว มันเป็นของจริงไม่ใช่เป็นของปลอมของหลอกลวงบัดนี้จิตของเรามันหยุดเองถอยเอง บังคับให้มันยึดให้มันถือเหมือนแต่เก่าก่อนมันไม่เอาแล้ว มันหันหลังกลับแล้ว บัดนี้มันไม่สู้ มันรู้แล้วมันเห็นแล้ว บัดนี้จิตมันปล่อยวางไว้แล้ว เราก็รู้ว่าเราปล่อยวางไว้แล้ว แต่เราอย่าไปพลั้งเผลอ ตัวนี้สำคัญที่สุด
เพราะฉะนั้นเรานั่งภาวนาความเจ็บปวดมันเคยเจ็บปวด นั่งชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง มันเคยเจ็บเวทนามันขึ้นมา บัดนี้มันไม่เจ็บตลอดคืนก็ไม่เจ็บสองวันสองคืนก็ไม่เจ็บมันบังคับได้ขนาดนั้นแหละ ตัวนี้ตัวสติปัญญาตัวนี้ ไม่มีอะไรจะเสมอเหมือน บัดนี้มันกล้า บัดนี้มันฆ่าอีกเสียด้วย บัดนี้ทุกรูปทุกนามไป มันไม่ได้เกี่ยวข้องคนนั้นว่ารูปนี้ดี รูปนี้สวย..โอ้…มันรู้แล้วมันเห็นแล้วตัวนี้ มันรู้แล้วมันไม่เอามันไม่หลงเหมือนแต่เก่าก่อนอันนี้คืออวิชชา คือความไม่รู้ บัดนี้มันรู้ขึ้นมาแล้วบัดนี้มันไม่หลงมันไม่ยึด บัดนี้มันมองไปเหมือนกันกับเรามันตรวจดูตัวของเรา แพลบ บัดนี้ตัวของเรามันเป็นอย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น คือคนอื่น ๆ นะภายนอก ตัวของเรามันเป็นอย่างนั้น ๆ ภายนอกมันก็เป็นอย่างนั้นจะมาโกหกหลอกลวงให้เราลุ่มหลง เหมือนอย่างที่เราเคยเป็นมาไม่ลุ่มหลงมันรู้แล้ว นี่ความรู้ตัวนี้มันแตกต่างกันกับความรู้ที่เราจำมา อันนี้ความรู้ที่เราจำมา ความรู้ของสัญญา สัญญาคือความจำ ความรู้ของธาตุของขันธ์นี่ความรู้ของธรรมจริง ๆ อันนี้
เพราะฉะนั้นให้เราดูตัวของเราให้มันละเอียดอย่าไปสงสัยว่าเราจะไม่รู้ มันต้องรู้ถ้าเราสนใจจริง ๆ เว้นไว้แต่เราไม่สนใจ เราไม่มองมันก็ไม่รู้มันก็ไม่เห็น ความเกิดความแก่ ความเจ็บความตายมันอยู่ที่นี่หมด อันนี้คือเมตตาของเราที่เราได้รับความทุกข์ความลำบากมาสักกี่ภาพกี่ชาติมาอันนี้เรามาหลง บัดนี้เมื่อเรารู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอเห็นช่องทางเดินของเราไป เพราะฉะนั้นท่านจึงให้พิจารณา หรือตรวจตราดูตัวของเราว่า เราอยู่กับเครื่องวุ่นวายกับออกมาอยู่อย่างนั้นมันแตกต่างกันไหม อันนี้มันแตกต่างกันเราอยู่ที่นี้มันสงบ ถึงมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาก่อกวนวุ่นวายอยู่ จิตของเรามันก็สบายถึงแม้จิตของเราไม่สงบ มันก็สบายมันไม่มีเรื่องนี่เรา สังเกตตัวของเราอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงสำนึกตัวของเรา อันนี้เราออกจากอารมณ์มาได้เราค่อยระวังอารมณ์มันตัวนี้มันสำคัญมันทำให้เราพลั้งเผลอ หลอกลวงตัวอารมณ์ ท่านจึงให้นามว่ากามารมณ์ ตัวนี้บัดนี้ถ้าอารมณ์ดีมันก็เกิดความรักความชอบขึ้น นี่แหละเรามาหลงอยู่ในห้องนี้แหละ บัดนี้อารมณ์ที่มันอยู่ในตัวของเรา เราก็มาหลงตัวนี้อีกตัวนี้ว่าดีว่าดีว่าไม่ดีอยู่นี่ เมื่ออารมณ์ภายนอกอารมณ์ภายในไม่ออก นั่นแหละอันนั้นมันตายแล้ว ที่เขาแสดงที่ไปดูเขาตายนั้นไม่ออกไม่เข้า อันนี้ร่างกายของเรานี่ก็เหมือนกัน บัดนี้เราครองอะไรเป็นเจ้าของ
บัดนี้เราจึงย้อนถามตัวของเราอีกครองของตายหรือครองของดีอันนี้ ให้จิตของเราใจของเราให้มันรู้ตัวนี้นะ เราอย่าไปถือว่าเราดี เราอย่าไปถือว่าเราชั่ว ตัวนี้เหมือนเราไปดูเขา อารมณ์ภายในมันไม่ออก อารมณ์ภายนอกมันไม่เข้า เขาเรียกว่า..ตาย..แต่ที่จริงมันเปลี่ยนภพเหมือนกันกับเสื้อผ้าของเราที่ไหนขาดแล้วก็เปลี่ยนใหม่นั้นก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอยู่กับอะไร อันนี้น้อมมาสอนตัวเราที่เราครองอยู่นี่ คือความตายนี่ คือของไม่เที่ยง ท่านเรียกว่าอนิจจัง นี่จริงไหมเห็นไหมนี่ เราสอนตัวของเราให้เราดู หมั่นดูอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มันพลั้งเผลอ เดี๋ยวมันจะไปหาเรื่องว่าตัวของเราดี ตัวของเราชั่ว ตัวนี้ที่เราดูอยู่นี่ บัดนี้คนอื่นก็เหมือนกันหมด เราอย่าไปว่าเขาดีกว่าเรา เก่งกว่าเรา ไม่มีเสมอกันหมดโลกนี้
เพราะฉะนั้นจิตของเรา มันจึงจะหยุด ในการคิดดีคิดชั่วนี่ หาดีหาชั่วมาหลอกลวงเรา นี่ให้เราเข้าใจอย่างนี้ การภาวนาเราต้องใช้อุบายเพื่อจะบังคับจิตของเราให้มันอยู่ไม่ให้มันดีดดิ้นไม่ให้มันหลอกลวงเรา อันตัวของเราก็เหมือนกันแหละกับที่เขาตาย ดูเขาตายแล้วก็มาดูตัวของเรา ท่านจึงว่า ถ้าไปเห็นคนเจ็บก็ให้น้อมนึกมาถึงตัวของเราว่าไม่วันหนึ่งก็วันหนึ่ง ตัวของเราก็จะเจ็บเหมือนกันกับเขาอีกนี้หนีไปไหนไม่พ้น เมื่อเราไปเห็นคนแก่ ก็ให้น้อมมาสู่ตัวของเราว่า ไม่วันหนึ่งตัวของเราก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนคนแก่นี่หนีไปไหนไม่พ้น เมื่อไปเห็นคนตายเขาก็ให้น้อมมาสอนตัวของเราไม่วันหนึ่งก็วันหนึ่ง เราก็จะไปไหนไม่พ้นเราก็ต้องตายแน่อันนี้ เมื่อเวลาเขาตายแล้วเขาทำอะไรอันนี้มันไม่มีคุณค่าราคาอะไร
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้เรารู้จักว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ให้เรารีบเร่งทำคุณงามความดีให้เพียงพอท่านว่าเมื่อตายแล้วเราจะเสียใจตามภายหลังทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดทุกสิ่งทุกอย่างให้เรานึกคิดว่าตัวของเราอยู่กับของไม่แน่นอน อันนี้ท่านเรียกว่ากองไตรลักษณ์ ตัวนี้ กองอนิจจัง กองทุกข์ขัง กองอนัตตา ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเราทำไมจึงเอามาเผาไฟทิ้ง นี่ให้น้อมนึกมาเห็นตัวของเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้จิตของเราจึงจะได้ไม่พลั้งเผลอจะได้ดูแลอยู่สิ่งโสโครกสกปรก อยู่ในตัวของเรานี่หมดอันนี้ไม่มีที่ไหนดีอันนี้ ๆเมื่อเขาตายได้แล้ว ปล่อยไว้อันนี้วันหนึ่งสองวันก็เกิดเหม็นเกิดเน่าขึ้นมา ตัวของเราก็เหมือนกัน บัดนี้เราน้อมจิตของเราให้มันดีอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ดีดไม่ดิ้นว่าคนนั้นดีว่าคนนี้ไม่ดี บัดนี้เสมอกันหมด
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าโลกนี้โลกสังขารธรรมเป็นของไม่แน่นอน บัดนี้จิตของเรามันเชื่อไหมบัดนี้ นี่เราถามจิตของเรา ถ้ามันเชื่อแล้วก็ เราก็รู้จักเพราะจิตของเรามันตัดสินว่ามันแล้วในตัวศรัทธามันจะเกิดขึ้น บัดนี้มันจะมัดเราให้เราดูอยู่อย่างนี้แหละ ไม่ได้ไปดูที่นั่น ไม่ได้ไปดูที่นี่เราเห็นไปดูที่นี่ เราเห็นไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนี้หมด ทุกข์ความเจ็บความแก่ความตาย เป็นทุกข์เราก็เห็นอีกเสียด้วย ความโสโครกสกปรกอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ไม่มีอะไรจะนอกเหนือจากตัวนี้ไปได้ มีหมดอยู่ที่นี่ เลือดยางอะไรมีหมด
เพราะฉะนั้นเราถามจิตของเรา ว่าเราชอบไหมบัดนี้ชอบสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราชอบเราเป็นอะไร เราจึงชอบสิ่งโสโครกสกปรก เราเป็น บุ้ง เป็นหนอนหรือ จึงตัดปัญญาเข้าไปแต่ให้ปัญญาของเราให้มันแหลมคม นี่เราไม่ใช่ บุ้ง ไม่ใช่หนอน เราจะมานอนกองอยู่หลุมคดหลุมมืดอันนี้หรือ จิตของเราเมื่อมันมองเห็น พอมันรู้มันก็ได้ถอยออกมา ๆ มันจะไม่ยึดว่าอันนี้เป็นเราเป็นของเรานั่นแหละมันถอยออกมันจะปล่อย บัดนี้ตัวนี้เจ็บขึ้นมามันก็ไม่อะไร ตัวนี้แก่มันก็ไม่อะไร มันรู้แล้วนี่มันปล่อย พอมันรู้อย่างนั้นจิตของเรามันปล่อยออกได้แล้วมันก็รู้จัก บัดนี้ตัวของเรามันก็จะได้ออกจากตารางเหมือนนักโทษที่เขาไปคุมขังไว้ในตารางในเรือนจำ เราจะไม่ได้ยึดไว้ตัวนี้เป็นของดีบัดนี้ เราดูตัวของเราคนอื่นก็เหมือนกันหมด ๆ โลกนี้ตลอดจนสัตว์ บัดนี้จิตของเรามันก็ไม่ได้มีความรักไม่ความชอบ ไม่มีความดีใจเสียใจ เพราะเรามันมีหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้ดูตัวของเราอันนี้ ถ้าเราออกจากตัวแล้วเราก็ออกจากตะรางได้ ตัวนี้แหละมันผูกมัดเราๆ ก็มาหลงตัวนี้อีก ตัวของเรานะ หลงเองมันมายึดตัวนี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา มายึดตัวนี้ว่าเป็นของดีเป็นของวิเศษ แต่ที่จริงมันกองทุกข์แน่ ๆ เหมือนเขาตายมาให้เราเห็น มาให้เราดูนี่ ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไรถ้าเราไม่แสวงหาคุณงามความดีแต่ไว้แต่เรามีชีวิตอยู่ไม่มีทาง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่าอย่าไปนิ่งนอนใจ เพราะธาตุขันธ์นี้มันเป็นอนัตตาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เขาเป็นกลางเหมือนแผ่นดิน ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่เราไปหลงยึดว่าอันนี้เราอันนี้ของเราเฉย ๆ ตัวนี้ก็เหมือนกันหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้รู้อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาไม่ให้มีการพลั้งเผลอ ตัวนี้หละมันจะหลอก ตัวนี้แหละมันจะหลอกลวงเรา ถ้ามันจะได้สิ่งนั้นมาสิ่งนี้มามันมาปรุงแต่งข้างในนี่อยู่ในใจ สังขารตัวนั้นมันมาปรุงแต่งขึ้น ถ้าปรุงแต่งสิ่งที่เราชอบ เราพอใจเราก็เกิดความรักความยินดีขึ้นรื่นเริงเพลิดเพลินหลงไปแล้วนั้น ไม่มองหลอกความแก่ ความชรา ความตายอยู่ในตัวของเรา นั่นมันเพลินไปอย่างนั้นแหละเพลินไปเพราะอะไร เพราะอารมณ์ ตัวกามารมณ์ตัวนี้แหละมันส่งมันไม่ให้เราดูตัวของเราแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นตัวของเราจึงได้วิ่งเต้นหรือดีดดิ้นไปตามอารมณ์ ท่านว่าเราไม่ใช่กระดาษพอจะปลิวไปตามลมเมื่อเวลาลมมันพัด ขึ้นมาเพราะเรายังไม่หลัก อันนี้ใจของเรามันยังไม่รู้ จึงได้เพลิดเพลินไปตามอารมณ์ว่าตัวจะดี ว่าตัวจะเก่ง ว่าตัวจะร่ำจะรวย ไม่มีๆใครรวย โลกนี่ไม่มีเราพอหาได้พอได้อยาก พอได้กิน ได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเราไปทุกวัน ๆ ให้เราพิจารณาไปเราอย่าไปยึดไว้ สร้างคุณงามความดีไปเพื่อที่จะออกหนีจากตัวนี้ให้มีกำลัง อันนี้แหละให้จำไว้ ภาวนาค้นคิดหาอุบายสิ่งที่ต่อสู้กับมันตัวนี้…โอ้…กลมายามันเก่งตัวนี้ถ้าปัญญาของเรามันไม่เกิดสู้มันไม่ได้ มันหาเรื่องพอมันมา ตาเห็นรูปเกิดความดีใจพอใจเกิดความรักความชอบหูได้ยินเสียงเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเราเอาตัวนี้ตัดเส้นทางมันไว้คือตัวสติตัวปัญญาตัวนี้ตัด ถึงแม้มันจะหลอกลวงเราว่าดีว่าดีคือเขาสมมติ แต่ตัวจริงมันแน่นอนแล้วอันนี้ อันนี้ให้เราเข้าใจอย่างนั้นการภาวนาจิตของเรามันจึงจะอยู่ บัดนี้จิตของเราเมื่อเราได้รับธรรมถูกต้องแล้วมันค่อยอ่อนลง มันไม่หาเรื่องหาลาวมาหลอกลวงเรา ๆ จึงอยู่ได้ บัดนี้เมื่อเราชำนิชำนาญมาเพียงพอแล้ว เราอยู่คนเดียวเราก็อยู่ได้อยู่ในดงในป่าไม่กลัวไม่อะไรเลย ไม่ได้คิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ได้ว่าตัวของเรามันจะตาย ตัวของเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้คิดอันนี้มันหยุดไปหมด เพราะความปรุงแต่งมันหยุด ใจของเรามันก็ปกติมันจะหยุดที่นี้มันจะหยุดหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเหมือนอย่างเราทุกวันนี้ อันนี้เราหลงเรื่องอาการของจิตเฉย ๆ ทุกคนแหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ฝึกให้ชำนิชำนาญ เมื่อเราจวนตัวเข้ามา คือเมื่อเราจะตาย เราจะได้ต่อสู้กับมัน ถ้าเราภาวนาจิตของเรามีหลักมีฐานมีพื้นฐานพอมั่นคงถาวรแล้วนี่มันไม่เอนเอียงหลอก ถึงแม้มันจะตายมันก็ยังหัวเราะยิ้มอยู่ตัวนี้มันไม่ได้ห่วง เพราะเรามาหลงมาแบกอนิจจังของไม่เที่ยงอันนี้ เราก็เห็นอีกเสียด้วยเราก็รู้อีกเสียด้วยและเป็นของจริงอีกเสียด้วยนี่ เป็นพยานหลักฐาน สติของเรากับผู้รู้นี่แน่นอนขึ้นบัดนี้ นี่แหละมันดีแล้ว เรามาได้ขนาดนี้อันนี้แหละการฝึกจิตของเรา ๆ เราออกมาจากที่วุ่นวายนั้นมันเป็นอย่างไร จิตของเราใจของเรามันก็ต่างกันอย่างนั้น เราจึงเปรียบเทียบกันดูมันจึงรู้สิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นองค์พระพุทธเจ้าท่านออกไปได้มันเป็นอย่างนั้น ๆ อันนี้จิตของเรามันก็ค่อยส่งเราออก ถึงแม้เราจะออกไม่ได้ก็ตาม แต่พยายามฝึกตัวของเราอยู่ จะได้เป็นเสบียงไปในภาพหน้าชาติหน้า อันนี้การฝึกจิตนี่สำคัญ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ฝึกให้แอบเมื่อเวลามันมา เราจึงจะได้ไม่วุ่นวายกับสิ่งที่จะมาก่อกวนเราจะออกตัวได้ ถ้าเราออกตัวไม่ได้ เราก็ติดอยู่ในห้องขังเหมือนนักโทษนั่นแหละ อันนี้มันไม่ได้อะไรหลอก มันไม่มีอะไรจะได้มีแต่หลงมัวเมาอยู่กับโลกเฉย ๆ ได้มาก็ใช้ไป หมดแล้วก็หาอยู่อย่างนั้นแหละ บัดนี้ความเฒ่า ความแก่ ความชราของเรามันกินไปๆ วันเดือนปีมันกินไปๆ บัดนี้เราไม่รู้สึกมีแต่รื่นเริงเพลิดเพลินความทะเยอทะยาน กิเลสตัณหาตัวนี้มันหลอกเก่ง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงเบื่อ เมื่อเรารู้เมื่อเราเห็นบัดนี้จิตของเรามันก็ค่อยถอยลง มันไม่ยึดมันไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้สูบกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายได้รับสัมผัสก็เหมือนกันมันก็ถอยออก อันนี้มันน้อมมาถึงตัวของเรานี่ ตัวของเรานี่มันเห็นว่าเป็นของไม่แน่นอน อันนี้แล้วคือของชำรุดทรุดโทรม คือของตาย อันนี้มันก็ค่อยจะคายออกมันไม่ยึด มันไม่ยินดียินร้าย โรคภัยไข้เจ็บอยู่ในตัวของเรานี้มันก็จะค่อยหายออกไปมันไม่มี เพราะเราไม่ได้เกี่ยวข้องกันโรคกับภัย อันนี้เราออกจากโรค ๆ มันเยอะแยะโรคให้เราเข้าใจ ไปอยู่ที่ไหนให้มีสติให้มีปัญญา อย่าปล่อยตัวของเราออกไปหาเจ็บเอานั่นเอานี่มาปรุงมาแต่งให้ดูที่จิตของเราใจของเราอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเราไม่ดูมันไม่เห็นถ้าเราเผลอแล้วมันจะหยิบเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มา ปรุงมาแต่งให้เราลุ่มหลงไปตามมันอยู่อย่างนั้นแหละ หรือรื่นเริงเพลิดเพลินไปตามมัน อันนี้มันเก่งตัวนี้
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงได้ดีดตัวออกไปอยู่ในป่าในดงคนเดียวองค์เดียวไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสอะไร แต่ขนาดนั้นมันยังตีหัวพระพุทธเจ้าพลันอยู่ขนาดนั้นแหละ อันนี้มันดีแล้วให้มันเป็นบารมีของเราไว้ อันนี้มันเป็นหลักของใจ แต่ใจของเราอย่าให้มันดีดดิ้นไปตามเขาว่าดีเราก็เฉย ๆ อยู่เขาว่าชั่วเราก็เฉย ๆ อยู่เราอย่าไปเก็บเอาเราเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเผาเรา ดีเราก็ดูตัวของเราชั่วเราก็ดูตัวของเราก็พอแล้วรู้แล้วเห็นแล้ว อันนี้มันความดีที่เขาสมมติขึ้นอันนี้ให้เรารู้จักอารมณ์ เขาว่าดีเราอย่าไปตื่นเต้น เขาว่าชั่วเราอย่าหงอยเหงา กลั้นไว้ตัวนี้หรือคนอื่นเขาพูอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปขัดอารมณ์คนมันหายใจอยาก ท่านว่าเมื่อเขาพูดไม่ถูกหรือเขาพูดถูก อย่าไปขัดอารมณ์เขา ท่านว่าถูกก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ถูกก็เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา ให้ผ่านไป ๆ อย่าไปกลั้นไว้มันหายใจอยาก ตัวนี้แหละมันจะก่อนฟืนก่อไฟขึ้นสำคัญ
เพราะฉะนั้นจึงว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามันละเอียดมาก ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญาไม่รู้ไม่เห็นมัน บัดนี้ตาเราเคยเห็นเขาคนอย่างนั้น ๆ หูเราได้ยินเสียง ๆ อย่างนั้น มันนำมาคิดมันนำมาปรุง อันนี้อย่าให้มันไปหยิบเอา ให้จิตของเรา ให้มันเป็นปกติมันอยู่เฉย ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ อันนั้นท่านสังเกตว่าจิตของเรามันปล่อยได้วางได้ มันไม่ดีดดิ้นกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาให้สังเกตอย่างนั้น บัดนี้จิตของเรามันเคยนิ่งเคยเป็นปกติอยู่มันก็เป็นปกติอยู่ ถึงแม้หูเราได้ยินเสียงก็ตาม ตาเราเห็นรูปก็ตาม มันไม่เกี่ยวข้องมันเป็นปกติ นั่นมันก็คอยรักษาเราอยู่
ธรรมะจากหลวงปู่สอ
– พระธรรมเทศนา 17 พฤศจิกายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.]
– เทศน์ เมื่อ 5-12 กันยายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.]
– พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.]
– ธรรมะจากหลวงปู่สอ [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.]
ดูทั้งหมด