ประวัติหลวงปู่สอ พันธุโล1

พระธรรมเทศนา หลวงปู่สอ พันธุโล
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2546

ของไม่ดีมันแสดงให้เห็นอยู่เต็มตา เพราะฉะนั้นให้ จิตของเราใจของเราให้มันรู้ รู้แล้วก็ปล่อยมัน ไม่ยึดว่าตัวของเราดี ตัวของเราสวย อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น มันค่อยขาดออกไปจากจิตจากใจของเรา มันก็เบาไปๆ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเอาของจริง มาแสดงให้จิตของเรามันดู ตาของเราก็เห็น ใจของเราก็รู้ บังคับให้มันปล่อยออกอย่าไปถือว่าตัวของเราดี ไม่มีที่ดี มันมีแต่หน้าที่ไปปกปิดไว้ ตัวนี้บัดนี้อวิชชา มันปกปิดจิตของเราใจของเราไม่ให้เรามองเห็นสิ่งที่โสโครก สกปรก นี่เรารู้แต่ภายนอกเห็นแต่ภายนอกก็ว่าดี พระพุทธเจ้าท่านมองเข้าไปจนทะลุไปหมด ท่านว่าไม่มีของดีอยู่ในตัวของเรา เดี๋ยวก็เปื่อยพังออกไป เมื่อเอ็นมันพังออกไปแล้วมันก็ยังแต่กระดูกเขาเก็บไว้อยู่ เขาไว้แสดงความบริสุทธิ์ให้ดู แล้วให้น้อมนึกเข้ามาว่าในตัวของเรานี้เราแบกอะไรอยู่ทุกวันนี้ นี่เราแบกแต่ของไม่ดี บัดนี้เราแบกของเราตายด้วย คนตายมันเป็นทุกข์นี่แหละ เราจึงเป็นทุกข์กันหมดโลกนี่ เพราะเราปล่อยเราวางไม่เป็น จึงฝึกให้มีสติให้มีปัญญา อันนี้นั่งอยู่ก็อย่าให้เราไปมองที่อื่น ให้เรามองดูสิ่งที่ไม่ดีอยู่ในตัวของเราให้มันรู้หมดเห็นหมด ให้มันรู้อยู่อย่างนั้น แล้วก็ไม่นานจิตใจของเราก็จะสว่างขึ้นๆ เหมือนไฟเมื่อมันสว่างแล้วก็มองเห็น อนิจจังมันเป็นอย่างนี้ของไม่เที่ยง เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้

นี่พระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครูพวกเรา ท่านสอนพวกเรา นี่เราได้ยินแต่หู จิตใจมันไม่เห็นรู้มันไม่ปล่อย มันยังยึดว่าดีนี่เรามาติดอยู่ตัวนี้แหล่ะมาถือว่าตัวของเราดี มันไม่มีดี ไปเอามาจากโรงพยาบาล (ศพคนตาย) มาแสดงให้นักภาวนานี่เห็นจิตของเราก็จะเบื่อจะคลายออกไป ปล่อยออกไป เราไม่ได้ยึดว่าตัวของเราดีมีแต่ของชั่ว ถึงแม้ใครๆ ว่าตัวดีก็ตาม จิตของเรามันรู้มันเห็นแล้วมันไม่เชื่อมันไม่มีที่ไหนดีเมื่อตายลงไปแล้วก็เป็นอย่างนั้น เมื่อยังไม่ตายมันปกปิดคือหนังตัวนี้มันปกปิด พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ ท่านจึงสอน เกศา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง นี่แหละตัวนี้แหล่ะมันปกปิดไว้ ท่านจึงให้ทบทวนไปมาอยู่อย่างนั้น ว่านี่ผมนี่มันได้อาหารอะไรหล่ะกินมันเกิดขึ้นมามีแต่ของโสโครกสกปรกอยู่ ขนก็เหมือนกัน เล็บก็เหมือนกัน ฟันก็เหมือนกันหนังก็เหมือนกัน มันอาศัยกันอยู่ บัดนี้จิตของเราทำไมมันชอบ เราบังคับให้มันดู

ท่านเมืองท่านเก็บรูป ท่านนั่งฉันอยู่กับของเน่าๆ ท่านบังคับจิต บัดนี้ เมื่อเขาผ่าใหม่ๆ เลือดยางมี นั่งฉันนั่งดูอยู่เอาจนจิตมันเบื่อ จิตมันปล่อยแต่ก่อนอาตมาเคยไปอยู่ในวัดนั้น ท่านเมืองเป็นศิษย์อาตมา ๆ ไปอยู่ สองสามปี อาตมาก็เลยจากนั้นไป อาจารย์จวนท่านเอากระดูกวัว กระดูกควายแขวนคอเอาอย่างนั้น อันนี้ท่านก็อยู่ได้ท่านอยู่ได้ 30 กว่า พรรษา ใครอยากดูของจริงอยากรู้ของจริงให้ไปดูที่วัดท่านเมือง คือธรรมอันแท้จริง ธรรมชาติที่แท้จริงไม่ใช่เป็นของปลอมแปลง แต่พวกเรามันปลอมหลอกกันลวงกันอยู่อย่างนั้นแหล่ะนั่นของจริงฝึกให้ไปอยู่ป่าช้าคนเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างพวกผี พวกเสือ พวกช้าง ไม่กลัว ลูกพระตถาคต ต้องให้ความกล้าหาญทุกสิ่งทุกอย่างไม่ท้อแท้อ่อนแอ อันนี้ถ้าไม่ฝึกเราก็ไม่มีใครมาฝึกให้เรา ให้มันหายความเกรงกลัว อันนี้ในร่างกายเของเรามันไม่มีอะไรหล่ะ มีแต่ของไม่ดีทั้งนั้นเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้ดูตัวของเรา บัดนี้จิตของเราใจของเราจึงไม่ส่งเสริมให้ตัวของเราลุ่มหลง ไม่ว่าตัวเราดี ไม่ว่าตัวเราสวย ไม่ว่าตัวเรางาม เรามองลงไปเราเห็นไปหมด

บัดนี้ตายไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะมีแต่ปลวกจะกินดินจะถมเท่านั้น ถ้าเราทำดี เราก็จะได้ไปเกิดใหม่ ถ้าทำไม่ดีเราก็จะไปจมอยู่ในนรกเสียก่อน มีกรรมของเราจึงได้มาเกิด เป็นสัตว์ หรือเป็นมนุษย์มันไม่ใช่ว่าเราจะเกิดเป็นคน กรรมของเราจึงได้มา เกิดเป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์ มันไม่ใช่ว่าเราจะเกิดมาเป็นคน กรรมของเราได้เคยสร้างไว้อะไรบ้างเราก็ไม่รู้ เรานั่งภาวนาในเวลาไหนให้เราน้อมมาที่เรา ไปดูมาสู่ตัวของเรา ไม่แปลกกันเลยแม้แต่สักนิดเดียว ในตัวของเรากับผู้ที่ตามไปมีรัตนะ (ฟังคำนี้ไม่ชัด) อันเดียวกันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า ท่านจึงให้เราพิจารณากาย ถ้าเราเห็นตัวเรา ๆ ก็ไปดูข้างนอก บัดนี้เมื่อเราเห็นข้างนอกแล้วเราก็มาดูตัวของเรา มันจะต่างกันหรือไม่ อันนี้ไม่มีแตกต่างมันธาตุขันธ์อันเดียวกัน บัดนี้ตัวนั้นมันมีสวยมีงามไหม ไม่มีตัวนี้ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจิตของเรามันรู้ บัดนี้มันก็ถอยว่าตัวของเรามันไม่มีของดีอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรตัวของเราจึงจะดีขึ้น อันนี้ ให้เรามีสติมีปัญญาถอนตัวของเรา มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอันนี้มันเป็นอะไร บัดนี้มีแต่กองเพลิงทั้งนั้น บัดนี้เราอย่านำมาใช้เราอย่าเอาเข้ามาสู่ใจของเราให้ระงับออกไปให้มันหมด บัดนี้ตัวของเราจะเป็นอย่างนั้น หรือไม่ที่ข้างนอกมันแน่นอน บัดนี้จิตของเราใจของเรามันก็ไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่โอ้อวดว่าเราดีอย่างนั้นว่าเราชั่วอย่างนี้ไม่มี จิตของเราจึงค่อยสงบ เพราะมันรู้มันเห็นทั้งตัวของเรา ทั้งเราทั้งเขาเสมอกัน เพราะว่าดินน้ำลมไฟอันเดียวกัน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ปอด ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อันเดียวกัน อาหารใหม่ อาหารเก่าอันเดียวกัน บัดนี้เราจะไปถือว่าเขาดีกว่าเรา เราโง่กว่าเขาได้อย่างไร มันเสมอกันอยู่นี่ธรรมชาติเขาแสดงออกอยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีการโอ้อวดว่าเราดีว่าเราเก่ง เราระงับกิเลสตัณหาไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ให้มันคะนองขึ้น พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ท่านระงับอย่างนั้น

เมื่อไปเห็นคนนั้นคนนี้เขาว่าคนนั้นคนนี้สวย เมื่อไปดูสภาพคนนั้น กับคนนี้ไม่แตกต่างกันไม่มี บัดนี้ของจริงกับของจริง มันไปเจอกัน แต่มันมีเครื่อง ปกปิดกำบัง เราจึงไม่รู้ว่าคนที่เขาว่าสวยๆนั่นจะไม่เหมือนกับคนที่เราเห็นนี่ต้องแน่นอน เพราะฉะนั้นจิตของเรามันก็รู้ ไม่มีสวยไม่มีการดีในตัวของเรานี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงค้นหาให้รู้จริงเห็นจริง ว่าความโลภมันเกิดขึ้นจากที่ไหน ท่านก็รู้มันเกิดขึ้นที่ใจ ความชั่วช้าลามกมันอยู่ที่ไหน เราจึงไม่รู้มันก็อยู่ที่ใจอันเดียวกัน เหมือนกับว่าปากกาหรือดินสอตัว (ก) มันก็อยู่กับอันนั้น บัดนี้ตลอดตัวสุดท้ายก็อันเดียวกัน ทำไมเขาจึงเรียกว่าตัว (ก) ทำไมเขาจึงเรียกว่าตัว (ข) ทำไมเขาเรียกว่าตัว (ค) นี้การสมมติ อันนี้ท่านเรียกว่า กิเลสสมมติ ขันธ์สมมติ อวิชชาสมมติ อันนี้ บัดนี้เราก็เลยหลงไปตาม ตัว (ก) ก็อันเดียวกัน ตัว (ข) ก็อันเดียวกันเหมือนกันกับว่าคนเราสวย คนไม่สวยนี่แหละคนเหมือนกันทำไมไม่มีสวย เพราะฉะนั้นเราก็หลงไปตามความเสกสรรปั้นยอของโลก นี่โลกสมมติ ขันธ์สมมติ ให้เรารู้จักตัวของเราทั้งหมดนี้ มีแต่ข้าศึกหลอกลวงเราอยู่นั้นแหละ

นี่เราจึงมายึด ๆ ตัวนี้ว่าเราเป็นของเรา ว่าเป็นของดี ของดีอย่างไรหละ นั้นมันพาตายอยู่ ที่เราไปเห็นนั้น ของดีทำไมจะเป็นอย่างนั้น นั้นมันแสดงของจริง ให้เราเห็นเต็มตาของเราอยู่แล้ว บัดนี้เพราะฉะนั้นจิตของเรา ใจของเรามันยึดมา เพราะฉะนั้นการต่อสู้กับความพากเพียรนี้ ท่านจึงสู้สถานหนักไม่กลัว เพราะท่านรู้ ครูบาอาจารย์ขอให้จิตของเราใจของเราได้ชัยชนะความพ้นทุกข์ให้ก็เป็นพอ นี่แหละพ้นทุกข์ได้ก็พ้นจากตัวนี้แหละ ความยึดมั่นถือมั่นถือมั่นตัวนี้แหละท่านเรียกว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน มันยึดมันผูกเราไม่ให้เราออกหนีจากมันได้ มันหาเรื่องนั้นมาใส่หาเรื่องนี้มาใส่ เหมือนกันกับว่าเราปรุงอาหารเอาตัวนั้นมาใส่เอาตัวนี้มาใส่ เราก็หลงว่ามันเป็นของเอร็ดอร่อย แต่ที่จริงมันเอาตัวนั้นตัวนี้มาประกอบ อันนี้เราปรุงอาหารก็ให้เราสังเกต คือการปรุงแต่ง อันนี้อาการสังขาร เรื่องอาการของธรรม อันนี้เราอย่าไปโง่ ให้เราฉลาด มันปรุง มันแต่ง มันหา นั้นมาใส่มัน หานี้มาใส่อันนี้แหละ ตัวของเราก็เหมือนกัน มันหาสิ่งนั้นมาปกปิด หาสิ่งนี้มาปกปิดเรา ก็บอกว่าเราสวย แต่ที่จริงเราเองนั้นแหละเราปกปิดตัวของเราเอง

บัดนี้ไม่ให้เรารู้ตัวของเรานี่ ตัวของเรามันเป็นอวิชชา มันเป็นตัณหา มันเป็นอุปาทาน บัดนี้ท่านจึงรู้ตัวของมันแล้วท่านจึงได้ต่อสู้มัน จนรู้แจ้งเห็นจริง อย่างเราเคยดูสดๆ ใครจะว่าดีเท่าไหร่เราก็ไม่เชื่อเขา เรารู้แล้วว่าตาของเราก็เห็น ใจของเราก็รู้ มันจะดีได้อย่างไร เมื่อตายไปแล้ว มันจะไปมีประโยชน์อะไรอย่างนั้นแหละ เอาดองไว้ก็อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นให้เราค้นคว้าในตัวของเรานี้ อย่าให้มันหลอกลวงเราจิตตัวนี้ใจตัวนี้ ใจตัวนี้มันเป็นอวิชชา บัดนี้เมื่อมันไม่รู้แล้ว ใครจะรู้ให้เรา เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ในใจ มันเกิดขึ้นจากใจ ความหลงก็เกิดขึ้นจากใจ ความรู้ก็อยู่ที่ใจ นี่มันเกิดขึ้นจากนี้แหละ เมื่อความหลงมันดับความรู้มันก็จะเกิดขึ้น เมื่อความไม่รู้ของเรามันยังไม่เกิด เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็มีศรัทธามันกล้าหาญมันรู้แล้วใครจะมาโกหก อบรมมันก็ไม่เชื่อมันรู้มันเห็นแล้ว นั้นแหละตัวสัจธรรมมันเกิดขึ้นมันละเอียดมันค่อยเกิดขึ้นให้เรารู้ให้เราเข้าใจ

ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่ามันจะเป็นตัว เป็นตนเดินไปเหมือนกันคนเรา แต่มันก็เดินตามเราอยู่ แต่เรามองมันไม่เห็น เพราะฉะนั้นเรื่องของตัวนี้เรื่องกรรมก็เหมือนกันกรรมดี กรรมชั่ว กรรมที่ไม่ดีแหละมันปกปิดเราไว้กรรมที่ดีมันยังไม่เปิดให้ เพราะกรรมที่ดีมันยังไม่มีอำนาจพอ จะเปิดช่องทางได้ เพราะกรรมชั่วมันปกปิดไว้ สู้มันยังไม่ถึงชนะ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ต่อสู้มัน ให้ชนะมันถ้ามันไม่ตกเวที ก็ให้เราตกเวที เราอย่าไปย่อหย่อนอ่อนกำลัง การนั่งก็เหมือนกัน ถ้าจิตของเราใจของเราไม่สว่างไม่ลุกเป็นอันขาด ตายก็ตายให้เราเชื่อ เอาความเชื่อนี้ฝังไว้ในใจของเรา แน่นอนเหมือนเราไปดูไปเห็น นี่แหละความเชื่อให้เราเอาฝังเข้าไว้ในใจของเรา อย่าได้ท้อถอยอดเป็นอด อดทนตายเป็นตาย เหมือนนักรบอย่าไปกลัวสงคราม ท่านว่าถ้าไปกลัวจะไม่ได้ชัยชนะ ต้องแพ้เขาแน่นอน อันนี้กิเลสกับเรารบกันก็เหมือนกัน ถึงแม้อย่างไรก็ให้เราฆ่ากิเลสให้มันตายก็แล้วไป เราไม่เอาดีเอาชั่วแหละขอให้เราปราบกิเลสสิ่งที่ปกปิดกำบัง ไม่ให้เรารู้ให้เราลุ่มหลงไปตามอยู่นี้ให้ชนะมันเป็นพอ นี้ให้เราตั้งใจจริง ๆ อย่าเป็นคนท้อแท้อ่อนแอเราเกิดมามันทุกข์ ทุกคนแหละ (ฟังไม่ชัด) ที่เกิดมาสู้ทุกข์และ ก็ขอให้เราพ้นจากทุกข์ท่านว่า จิตตัง ธันตัง สุขาวหัง ขอให้เราพ้นทุกข์ก็เป็นพอแล้ว

บัดนี้เราพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบันนี้ เราก็รู้จักจิตใจของเรา มันเคยยึด เคยถือ เคยยินดียินร้าย กับสิ่งเหล่านั้น บัดนี้มันหยุดหมดลง เราก็ค่อยรู้ไป บัดนี้เราก็ค่อยได้เป็นหลักของใจของเราอยู่ที่ไหนๆ เราก็สบาย ไม่วุ่นวายดีดดิ้นเหมือนแต่ก่อนไม่ก่อฟืนไม่ก่อไฟก่อเพลิงเผาตัว ท่านว่านี่ชาติหน้าภพหน้าก็เหมือนกันเราไม่ต้องสงสัย แต่วันนี้เราก็ยังสบายอยู่แล้ววันหน้าก็ต้องสบายอย่างนั้นให้เราตั้งใจอันนี้แหละ เราเอาธรรมเข้าสู่ใจของเรา ใจของเราเป็นธรรมมันเป็นอย่างนั้น บัดนี้คนนั้นคนนี้เขาจะตำหนิติโทษเราว่า เราดีหรือไม่ดี ก็ไม่ตื่นเต้นเขาจะว่าเราดีอย่างนั้น บัดนี้ คนนั้นคนนี้เขาจะตำหนิติโทษว่าเราดี หรือไม่ดี ก็ไม่ตื่นเต้น เขาจะว่าเราดีอย่างนั้นอย่างนี้เราก็ไม่ตื่นเต้น มันเสมออยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงเปรียบเทียบ เหมือนกันว่าแผ่นดินกับน้ำท่านเปรียบเทียบไว้ น้ำ มันเป็นอย่างไร มันเย็นถ้าตักไปกินก็เย็น คนไปอาบก็เย็น มันไม่เลือกชาติ ชั้นวรรณะ คือสัตว์มันไปเล่น บัดนี้เขาก็ไม่มีความโกรธเขาก็ไม่มีความโลภดินก็เหมือนกันเขาจะไปเยียวไปถ่ายอย่างไรเขาก็เฉยๆ อยู่อันนี้ธาตุตัวนี้ก็เหมือนกันมันมาจากนั้น ดิน น้ำ ลม ไฟ ผม ขน เล็บ นี่มันเป็นดินบัดนี้เราไปหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเพิ่มเติมเข้าให้มันมีความโกรธ มีความโลภ มีความหลงขึ้นตัวของเราไม่รู้ เราไปหยิบสิ่งนั้นมา หยิบสิ่งนี้มา ๆ ทับถมตัวเข้าบัดนี้เราก็เกิดความรุ่มร้อน เกิดเป็นทุกข์นั้นต่อกันนี่คือความอยากตัวนี้มันทำให้เราลุ่มหลงทำให้เรามัวเมา

บัดนี้เมื่อเวลาเรามัวเมาเข้าไปแล้ว ตัวของเราก็เศร้าหมองเข้าไป บัดนี้เทวดาเขาก็ไม่ยินดี ผู้คนเขาก็ไม่ยินดี เขาเบื่อไปที่ไหนไม่มีสรณะไม่มีที่พึ่งไม่มีพรรคมีพวก ไม่มีผู้ค้ำจุนอุดหนุน นี่ท่านเรียกว่าเกิดมาตายเปล่า ไม่มีคุณค่าแก่ตัว เกิดมาสู้ทุกข์จริงๆนั้นท่านเรียกว่าทุกข์ ขันธ์นี่เป็นของจริงเพราะฉะนั้นธาตุทุกข์ ขันธ์มีตัวสัจธรรมมีนี่ของจริงทุกข์อยู่ อย่างนั้นแหละไม่มีสุขแม้แต่นิดเดียว มันไม่ทุกข์อยู่ที่อื่น มันก็ทุกข์อยู่ที่ใจร้อนอยู่อย่างนั้นใจไม่มีการพักผ่อนหย่อนตัว นอนก็ไม่หลับ สิ่งเหล่านั้นที่เราเคยได้ก็ไม่ได้ เคยมีก็ไม่มี พอจะมีก็ไม่มี พอจะได้ก็ไม่ได้ อันนั้นแหละเพราะผลกรรมมันไม่ให้เราดีได้ตัวนี้ เพราะเราทำมาแต่ทางไม่ดีให้เราสังเกตและดูตัวของเราอยู่ตัวมันปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นท่านว่าธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า สำเร็จด้วยใจ ถ้าใจของเราสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็สะดวกสบาย เพราะใจตัวนี้แหละสำคัญมากทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ คนโลภ คนโกรธ คนหลง ก็อยู่ที่ใจนี่แหละ พาโลภ พาโกรธ พาหลง คนเฉลียวฉลาด เป็นนักปราชญ์อาจารย์ก็ใจนี่แหละ นี่ให้เราเข้าใจๆ ใจมันก็มีอยู่ทุกคน เพราะฉะนั้นเราได้ของดีมา ครองเป็นเจ้าของและรักษาไว้ให้ดี อย่าให้มันรอดมือของเราไปได้ กำไว้ให้แน่น เมื่อเราจะพูด จะทำ จะคิด อันนี้มันสำคัญอันนี้ เราต้องมีสติเป็นเครื่องคุ้มครอง ถ้าเราจะพูดเราคิดเสียก่อน ถ้าพูดไปมันจะมีประโยชน์ หรือมันจะให้โทษ อันนี้เราจึงพูดไป ถ้ามันเป็นประโยชน์เราพูดไปก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเรา

ท่านจึงว่าพูดดี ทำดี พูดจริงทำจริง บัดนี้เราสร้างตัวของเราให้เป็นคนจริง ให้เป็นคนดี เราก็ต้องสร้างอย่างนั้นตลอด หน้าที่การงานทุกสิ่งทุกอย่างกิริยามารยาทเราประคับประคองไว้ให้ดี ตัวนี้อย่าให้มันทำลายเรา ถ้าเราไม่รู้จักตัวนี้แหละ มันทำลายเรา ให้เราเป็นบาปเป็นกรรมให้เราเป็นคนโง่ เกิดมาก็เป็นคนโง่ เพราะธรรมอยู่กับตัวของเราทำไมให้ความชั่วมันรั่วไหลเข้ามา ชักดึงเราไปในทางที่ไม่ดี ความชั่วมันคอยทำลายเราอยู่ ความดีมันก็คอยส่งเสริมเราอยู่แต่เราจะหนักไปข้างไหน จะข้างดีหรือข้างชั่วคอยดู ถ้าเราหนักไปในทางดีมันก็หาแต่สิ่งดีมาให้เรา เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก คุ้มครองเรา ท่านว่าคุ้มครองอย่างนั้นแหละ ถ้าเราไม่คุ้มครองเรา ถ้าเราไม่สร้างตัวของเราให้เป็นธรรมแล้ว ใครจะเป็นคนสร้างให้เรา ใครจะเป็นธรรมให้เราถ้าเราไม่เป็นธรรม

เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ที่อื่น เมื่อเราจะได้ความดีจากตัวนี้มา เมื่อเราไม่สร้างเอา มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เหมือนที่เขาตายให้เราเห็นไม่มีประโยชน์ในตัวนี้มีแต่สิ่งโสโครก สกปรกทั้งหมดเสมอกันหมด ทั้งสัตว์ทั้งคน เราอย่าว่าคนนั้นดีคนนี้ดี…….(ฟังไม่ชัด) ที่ดีนี่หละ ท่านว่าสิ่งที่ไม่ดีว่าดี มันผิดเป็นถูก เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีสติระงับความดีความชั่วหรือพิจารณาความดี ความชั่ว เมื่อเวลาเราจะทำมันไม่อยู่ที่อื่น มันอยู่ที่ใจของเรานี้แหละ เหมือนกันกับว่าตัว (ก) ตัว (ข) มันอยู่กับปากกาอยู่กับดินสอ ตัว (ก) ก็ออกมาจากตัว (ข) ก็ออกมาจากนั้นตลอดตัวสุดท้ายมันไม่ออกมาจากที่อื่นมันออกมาจากใจ อันนี้ก็เหมือนกันความดีความชั่วนี้ความเฉลียวฉลาดก็เหมือนกัน แต่เราให้รู้จักกลมายาของความชั่วอยู่ มันเก่งตัวนี้มันเคยหลอกลวงเรามาจักกี่ภพ กี่ชาติมาเป็นหลายร้อยชาติ เกิดมาตายเล่นเฉยๆไม่มีคุณค่าราคาอะไรนี่เราคนหนึ่งคนใด ไม่ใช่ว่าเราจะมีแต่ชาติปัจจุบันเดียวนี้นะ เราผ่านมาสักกี่ภพกี่ชาติแต่เราไม่รู้ ทุกข์มาเกิดมาตายมาตายมาๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่รู้ว่าจิตของเราไม่รู้ไม่เห็นเราไม่รู้หลอกจิตของเรา ถ้าเราภาวนาไปจิตของเราสว่าง จิตของเราเป็นสมาธิ จิตของเราเป็นสมาธิ จิตของเราจะพาเราไปดูชาติเก่าของเราที่เราเกิด เราตาย มาที่ไหนๆ มันก็เกิดก็ตายอยู่อย่างนั้นแหละไปที่ไหนๆ ก็ โอย ขนาดว่าจะน้อยมากเท่าใด

หลวงปู่ขาวท่านว่าผมเห็นอยู่ปีหนึ่งเป็นอย่างนี้แหละ กลางวันก็เห็น กลางคืนก็รู้ท่านว่า ผมเป็นอยู่สามปีอันนี้ จะเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นสัตว์อันนี้ไม่รู้ แต่ไปเห็นชาติเก่าทั้งหมดอันนี้ ท่านอาจารย์มหาบัวก็ไม่บอก มีแต่บอกว่าให้ไปภาวนาไปๆ ให้เรารู้เองเห็นเองจิตของเรามันจึงจะเชื่อเรานี่ใจคนอื่นบอกไม่ได้ตัวนี้มันเจ้าของเองเป็นผู้เกิดผู้ตายๆอยู่ที่ไหนเจ้าของเองก็รู้จะให้คนอื่นไปชี้บอก คนอื่นไม่ได้ไปตายกับเรา หลวงปู่ขาวท่านว่าจะบอกอย่างไร อ่ะ มันเป็นแบบนี้อาตมาก็เลยจำไว้ ทุกคนแหละ พวกของจิตของเราผู้รู้ๆ นี่มันตายไม่เป็น ท่านจึงเรียกว่าตัวพุทโธ พุทโธคือผู้รู้ นั้นแหละตัวธรรมคือ อันที่รอบรู้ในกองสังขาร

บัดนี้ทุกคนแหละเมื่อท่านรู้แล้ว ท่านก็ปล่อยวางไม่เอาเพราะความชั่วนี่มันทำลายเรา มันเป็นเครื่องปกปิด เป็นเครื่องทำลาย เป็นยาพิษเป็นสารพัดท่านเปรียบเทียบไว้ เพราะฉะนั้น ทำไม่เรายังไม่เบื่อ ทำไมเรายังไม่หน่ายนี่มันทำลายเราทุกขุมขนนี่ให้พากันค้นมัน ไม่อยู่ที่อื่น มันอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ตัวของเรานี่แหละปกปิดเรา อย่าไปเชื่อดี อย่าไปเชื่อชั่ว เขาว่าดีก็อย่าไปเชื่อเขาว่าชั่วก็อย่าไปเชื่อเขา ทำเอาพูดเอาท่านว่าให้เชื่อความจริง เมื่อเราเห็นเป็นความจริงเหมือนเราไปดูอันนั้นว่า เมื่อเราเกิดมาตายแน่ๆ อันนั้นเหมือนกันกับว่าเราไปดู ไปเห็นนั้นแหละ ตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร แน่นอนอย่างนั้นแหละ บัดนี้ในตัวของเรามันจะดีอะไรบ้าง นั้นเขาแสดงธรรมชาติให้เห็น มันไม่มีสิ่งดีมีแต่ของโสโครกสกปรกทั้งหมด บัดนี้ถ้าเขาว่าคนนั้นดี คนนี้ไม่ดี เราอย่าไปเชื่ออย่าไปยึดเอามาคิด อย่าไปยึดเอามาปรุง เมื่อหูเราได้ยินเราก็ผ่านไป เราอย่านำมาคิดว่าดีอย่างนั้น ว่าชั่วอย่างนั้น อย่าไปก่อขึ้นตัวนี้แหละมันตัวเป็น สังขารตัวมันก่อขึ้นมันปรุงแต่ง บัดนี้ถ้าเขาหูได้ยินเค้าก็ว่าดี ตัวของเราก็คิดอยากดีมาปรุงมาแต่งขึ้น คิดอยากรู้อยากเห็น มันปรุงแต่งขึ้นไป มันเป็นกิ่งเป็นสาขาออกไปเหมือนกับต้นไม้ มันปรุงแต่งบัดนี้เราจะไปตามมันทันได้อย่างไรนี่มันเยอะตัวนี้

เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้จักต้นปลายสาเหตุของมันแล้ว ไส้พุงของมันแล้ว ทำลายตัวนั้นเหมือนกันกับว่าเราทำลายต้นไม้ จะให้มันตายนี่เราถอนต้นมันขึ้นจากพื้นดิน รากอะไรของมันขาดจากดินไปหมดกิ่งก้านสาขาไม่สำคัญ ตายไปหมดตัวนี้ก็เหมือนกัน ใจนี่แหละเราอย่าไปเอาที่อื่นตัดใจของเราๆ อย่าไปเชื่อใจบัดนี้เขาว่าดีก็เฉยๆ อยู่ หูเรา ได้ยินอยู่ตาเราเห็นอยู่ก็เฉยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างให้เรามองดูใจของเราอยู่ตลอด นี่ท่านเรียกว่าเป็นผู้ฝึก ผู้แอบตัวของตัวให้มองดูตัว อย่าไปมองดูที่อื่น มองดูใจ พอตื่นปรับขึ้นมาอันนี้ให้มีสติ ให้มีปัญญามองดูใจ แพลบ ดูมันจะคิดไปเป็นอย่างไรบ้างอันนี้มันหาเรื่องมาหลอกลวงเรา หาเรื่องมาปรุงมาแต่งในใจเรา ให้เรารื่นเริงเพลิดเพลินลุ่มหลงไปตามเขาอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะอวิชชามันอยู่ที่นั่นอวิชชามันอาศัยใจอยู่ อวิชชามันอาศัยใจเป็นบ้านเรือน อันนี้ให้เราเข้าใจ (ฟังไม่ชัด) เห็นทุกข์แล้วหรือยังในตัวของเรามีแต่ทุกข์ นี่เราเกิดมาทุกคนแหละ เวลาไหนเราจะปล่อยจะปลงก็ให้ถามตัวของเราด้วยให้มีสติ ประคับประคองอยู่ ความเจ็บความปวดมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น (ฟังไม่ชัด) ขันธ์ทั้งห้านี้เป็นภาระหนักแบบไม่มีการท้อถอยไม่ได้กินก็ไม่ได้ ได้กินก็ไม่ได้อยู่อย่างนั้นแหละ กินแล้วก็อยากอีกอิ่มแล้วก็อยากอีกอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีความสุข

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าว่าให้เราปล่อยเราวาง เราอย่าไปยึด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเราอันนี้มีแต่ทุกข์ อันนี้ให้เรารู้ให้เราเห็นสติของเราอยู่ อย่าเอาความทุกข์มาอยู่ในหัวใจของเรา ให้เอาความสุข สุขกาย สุขใจ สบาย บัดนี้ เวลาไหนเราจะทำให้สุขมันเกิดขึ้นเวลาไหนเราจะปล่อยทุกข์ออกจากตัวของเรา อันนี้ต้องถามตัวของเราอยู่ตลอดเวลา ทุก อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องถาม ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไม่เป็นผู้ครองธรรม เป็นผู้ครองเรา ให้กิเลศ ให้ความทุกข์มัน (ฟังไม่ชัด) เราแล้วก็หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาใส่ ไม่ได้กินก็เป็นทุกข์ ได้กินก็เป็นทุกข์อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นท่านว่าพะราหาเวปัญจขันธา ขันธ์ทั้งห้านี่เป็นภาระอันหนัก ขันธ์ทั้งห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่แหละมันพาให้เราเป็นทุกข์ ให้เอาทิ้งอย่าเอากลับไปด้วย อย่าให้มันติดตัวเรากลับไป เอาทิ้งเข้าป่าเลย ทิ้งไม่เป็นถอนไม่เป็นมันก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ ไปยึดไปถือไว้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ท่านบอกแล้วอันนี้ เป็นธรรมอันที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นสิ่งหลอกลวงหรือโกหกเรา แต่ท่านจะให้จิตของเรามันรู้เอง จิตของเรามันไม่รู้ มันไปยึดเอาของปลอมเป็นของจริง มันไปยึดกองทุกข์เป็นความสุข

เพราะฉะนั้นแหละให้เราเปลี่ยนๆ ความยึดของเราๆ อย่าไปยึดเราอย่าไปเอา ปล่อยมันออกไป นั่งภาวนาที่กรุงเทพ ก็เหมือนกันนั่งตลอดคืนอย่าไปนอนสู้มัน ลูกพระตถาคต อย่าไปน้อยใจ พ่อเราไม่เคยน้อยใจ ท้อแท้ อ่อนแออะไรเลย มีแต่เข้มแข็งทั้งนั้น บัดนี้ตัวของเราๆจะปล่อยให้ตัวของเราจมอยู่ในหลุมคูต หลุมมูตรอันนี้ที่เราไปดูนี่ตัวนี้แหละคือ หลุมคูต หลุมมูตร ตัวสกปรกนี้ไม่มีของดี เพราะฉะนั้นเราให้มันได้ของดีมาครอบครองในหัวใจของเราคือทำดี คิดดีตัวนี้คิดดีคิดถูกนั่นแหละของดี บัดนี้คิดขึ้นมาก็ดีบัดนี้เมื่อเรารู้เราเห็นเราปล่อยออกทางวาจาของเราก็ดี ปล่อยทางกริยาก็ดีๆไปทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นท่านว่า ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ ได้สมบัติทั้งปวงไม่ประเสริฐเท่าได้ตน นั้นแหละตัวของเราประเสริฐ มันประเสริฐอย่างนั้นแหละ เพราะตัวตนเป็นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งปวง เราอย่าไปยึดสิ่งที่ไม่ดีเราอย่าถือว่าตัวของเราดี ให้เรารู้ให้เราเห็น อยู่ตลอดเวลา จิตของเราใจของเรา ก็ค่อยอ่อนลง สงบลง บัดนี้มันไม่ดีดดิ้นไม่โอ้อวดอย่างนั้นอย่างนี้เลยเงียบงอม อยู่อย่างนั้นแหละ เราก็ว่าไปเจ็บนั้นเจ็บนี้ แล้วก็ไปหาหมอ แต่สัตว์อยู่ป่าเขามีโรงพยาบาลไหม อันนี้เขามีมีแต่ดงแต่ป่า นี่ตัวของเรานี่คนแท้ๆ นี่ทำไมจึงไปอ่อนแออย่างนั้นๆ แหละสัจของจริงท่านเอาตัวนั้นแหละเป็นบรมครูท่าน

พระพุทธเจ้าท่านจึงได้เข้าดงเข้าป่านี้ ให้เราจำไว้ๆ นะ เมื่อปวดนั้นปวดนี้นะอย่าไปหาหมอ อย่าไปเอาจมูกคนอื่นหายใจ เรามาตายแน่ๆ ถ้าเราไม่หายก็ให้มันตายเถอะ เราไม่ต้องไปร้องเรียกมันมาตัวนี้ มันก็เห็นเอง รู้เอง ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวางเราก็โง่อยู่แบกกองทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละแบกความเจ็บความปวดอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงแฝงหมดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายนอกและภายใน ภายในของท่านคือสติปัญญา ภายนอกตลอดสิ่งที่เข้ามาก่อกวนยุ่งเหยิงจิตใจท่าน ระมัดระวังหมดการวาระนี่คือการตั้งสติไม่มีการพลั้งเผลอ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงมีแต่ปล่อยอันนี้ จิตของเรามันมองดูใจ มองดูสิ่งเขาปรุงแต่ง นี่ท่านเรียกว่าการระมัดระวังรักษาตัว ต้องรักษาอย่างนี้ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญารักษาตัวละก็ ปล่อยให้ข้าศึกเข้ามาก่อกวนเดี๋ยวก็ปรุงอย่างนั้น ปรุงอย่างนี้ดี อย่างนั้นชั่วอย่างนี้ หาเรื่องก่อกวนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเรามองเข้าไปในตัวของเรามีแต่กองทุกข์ นั่งอยู่นอน อยู่ก็ทุกข์ได้กินก็ทุกข์ ไม่ได้กินก็ทุกข์มีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ ไม่มีความสุข

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่า เราแบกกองทุกข์ อยู่ตลอดเวลา บัดนี้วันไหนเวลาไหนนาทีไหน เราจึงจะคิดจะปล่อยจะปลงอันนี้ท่านขยับพวกเรา ปลงออกให้มันหมดนะ บัดนี้ให้เราใช้แต่ของดีๆ เวลากลับกรุงเทพ อย่าเอาความ โลภ ความหลง ความท้อแท้อ่อนแอไป นั้นมันเป็นของไม่ดี อย่าให้มันติดตัวของเรา ไม่มีสิ่งดีสักอย่างบัดนี้ ขี้เหงื่อ ขี้ไคลอะไรเต็มตัวบัดนี้มองเข้าไปข้างในนี้มีแต่ของโสโครก สกปรกเหมือนเราไปดู นั้นดีอะไรอย่างนั้น ไม่มีใครว่าดี บัดนี้เราทำไมยังจะปล่อยไม่ได้ อันนั้นเอาอันนั้นเทียบเคียงจิตของเรา มันก็ค่อยปล่อยออกมันไม่ยึดเจ็บก็อดต่อสู้ ยกให้เค้าไปนี่ เราอย่าไปหวงเอาอะไรกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันมีแต่ไหนแต่ไรมา มันไม่ได้หายสูญไปที่ไหน บัดนี้เราจะมายึดเอาอะไรอยู่ที่นี่บัดนี้ ไม่มี เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงทำจิตของท่านให้บริสุทธิ์ ไม่ให้มีเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ในจิตใจ ไม่มีการอยาก ไม่มีการเอา ไม่มีสิ่งนั้นของเราสิ่งนี้ของเรา ไม่มี นั้นแหละ สมมุติ ขันธ์สมมติเขายึด…(เทปหมด)

ธรรมะจากหลวงปู่สอ
– พระธรรมเทศนา 17 พฤศจิกายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 19:04 น.] – เทศน์ เมื่อ 5-12 กันยายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 19:04 น.] – พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546 [15 มิถุนายน 2552 19:04 น.] – ธรรมะจากหลวงปู่สอ [15 มิถุนายน 2552 19:04 น.] ดูทั้งหมด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *