ประวัติหลวงปู่สอ พันธุโล1

Author: admin

บิณฑบาตร

บิณฑบาตร

บิณฑบาตร
[22 มิถุนายน 2552 20:48 น.]จำนวนผู้เข้าชม 14689 คน

ภาพพระภิกษุ วัดป่าบ้านหนองแสง บิณฑบาตร ตอนเช้า

วัดป่าบ้านหนองแสง
– เมรุเผาศพ [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – ทางเดินจงกรม [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – บรรยากาศวัด [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – เจดีย์หลวงปู่สอ พันธุโล [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – ศาลาวัดป่าบ้านหนองแสง [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – บิณฑบาตร [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – มณฑปไม้สักทอง [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – กำหนดการจัดงานทำบุญฉลองอายุวัฒนมงคล 88 ปี [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] – วัดป่าบ้านหนองแสง [22 มิถุนายน 2552 20:48 น.] ดูทั้งหมด

 

 

เรียนรู้การปฏิบัติของพระสงฆ์ไทย

ประเทศไทยมีผู้นับถือศาสนาพุทธมากเป็นอันดับสามของโลกโดยมีประชากรกว่า 95% ติดตามโรงเรียนเถรวาท. ประเทศนี้ตั้งอยู่ติดกับจีนและญี่ปุ่นในแง่ของประชากรที่นับถือศาสนาพุทธ.

 

ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของพระสงฆ์และอารามหลายพันแห่ง ในช่วงเข้าพรรษาเพิ่มจำนวนขึ้นอีก. ผู้ชายทุกคนจะต้องเป็นพระ. เด็กหนุ่มสามารถเป็นสามเณรได้ทุกวัย อย่างไรก็ตามอายุขั้นต่ำที่จะเป็นพระภิกษุได้คือ 20 ปี.

 

พระสงฆ์มีอิสระในการเลือกระยะเวลาที่ต้องการอยู่เป็นหนึ่งเดียว. โดยปกติแล้วจะอยู่ได้ถึงสามเดือน แต่ก็มีบางคนที่เลือกความเป็นพระไปตลอดชีวิต. การบวชเป็นการบำเพ็ญเพื่อกรรมดี.

 

วัดพุทธในประเทศไทยมีเจดีย์สีทองสูงซึ่งมีสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาคล้ายกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัมพูชาและลาว.

 

พระพุทธศาสนาในประเทศไทย

 

เชื่อกันว่าพระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยเร็วที่สุดเท่าที่ 250 ก่อนคริสตศักราช – ในสมัยของจักรพรรดิอินเดียพระเจ้าอโศก. หลังจากนั้นก็มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมของประเทศเป็นส่วนใหญ่ บ่อยครั้งที่ศาสนาเข้ามาเกี่ยวพันกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งกษัตริย์กลายเป็นผู้อุปถัมภ์หลักของพระพุทธศาสนา.

 

พระพุทธศาสนาในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการบวชระยะสั้นและการเชื่อมโยงระหว่างรัฐและวัฒนธรรมที่ค่อนข้างใกล้ชิด.

 

ข้อปฏิบัติของพระสงฆ์ไทย

 

ในดินแดนแห่งรอยยิ้มมีพระสงฆ์กว่า 300,000 รูป พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีเหลืองและสีส้มโดดเด่นไม่เหมือนใครในเครื่องแต่งกายสมัยใหม่. บางคนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการถวายสังฆทานที่รวบรวมเงินบริจาคจากท้องถนนในภูเก็ตไปยังกรุงเทพฯ.

 

การปฏิบัติพื้นฐานของพระสงฆ์ 2 ประการ ได้แก่ การไหว้พระพุทธและการมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไป:

 

บูชาพระ

 

การปฏิบัติอย่างแรกเกี่ยวข้องกับการแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าผ่านการทำสมาธิและการให้ของขวัญ ของขวัญมอบให้แก่พระบรมสารีริกธาตุหรือรูปเคารพแทนพระองค์. ก่อนหน้านี้ความเลื่อมใสมุ่งเน้นไปที่พระบรมสารีริกธาตุและเจดีย์ที่ได้มา. ตลอดประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาการปฏิบัติมีความหลากหลายมาตั้งแต่ต้น. อย่างไรก็ตามเรื่องนี้การปฏิบัติตนเพื่อให้เกียรติและบูชาพระพุทธเจ้าเป็นส่วนสำคัญและเป็นหัวใจสำคัญของประเพณี.

 

แลกเปลี่ยนระหว่างพระสงฆ์และฆราวาส

 

ในขณะเดียวกันแนวปฏิบัติที่สองคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระและฆราวาส. พระสงฆ์เป็นผู้บรรลุธรรมในระดับสูงขึ้นเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า พระสงฆ์จะได้รับของขวัญที่ใช้เป็นเครื่องบูชา.

 

การตักบาตร

 

การถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์เรียกว่าตะแบกซึ่งเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมไทย. การตักบาตรเป็นวิธีการตอบแทนพวกเขาสำหรับการอุทิศชีวิตเพื่อสอนให้เป็นคนดีและชอบธรรม ผู้คนสามารถแสดงความกรุณาต่อผู้อื่นผ่านเครื่องเซ่น.

 

เวลาประมาณตี 5 ถึง 6 โมงเช้าพระสงฆ์จะออกไปบิณฑบาตตามท้องถนน. พวกเขามักจะเดินเป็นเส้นตรงโดยมีพระอาวุโสเป็นผู้นำส่วนที่เหลือ. พวกเขาเดินเท้าเปล่าเพื่อเชื่อมโยงกับธรรมชาติ.

18 พ.ค 2546

18 พ.ค 2546

พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546
[15 มิถุนายน 2552 18:33 น.]จำนวนผู้เข้าชม 8482 คน

พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่สอ พันธุโล
วันที่ 18 พฤษภาคม 2546

พระพุทธเจ้าท่านว่าสติปัญญาเป็นของสำคัญ ถ้าคนขาดสติคนไม่สมบูรณ์ เขาเรียกว่าคนบอ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้ฝึกสติ เดินสติปัฎฐาน เดินอยู่อย่างนั้นในตัวของเราอันนี้ ร่างกายของเราเกิดขึ้นมาจากอะไร คือสติปัญญาของเรามันจะรู้ ถ้าเราไม่มีสติไม่รู้เรื่องอาการของเรา มันคิดนั่น คิดนี่ คิดขึ้นไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นให้เรามีสติสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวของเราเอง คือความแก่ ความชราความล้ำค่าอะไรมันอยู่นี้หมด เราจะดีก็สติของเราจะชี้ช่องทาง เพราะสิ่งเหล่านี้ มีสติปัญญาเท่านั้นจะบังคับได้ ถ้าไม่มีสติปัญญา บังคับมันไม่ได้ ตัวกิเลสตัวนี้มันประคับประคองเรามาสักกี่ภพกี่ชาตินานมาแล้ว บัดนี้มักก็มาหลอกลวงเราอยู่อย่างนั้น บัดนี้เกิดขึ้นมาอีก มาตายอีก มาหาอยู่หากินเหมือนเก่าอีกอยู่อย่างนั้นแหละ ตัวนี้ถ้าไม่มีสติปัญญาถอนตัวของเราออกจากตัวนี้แล้วมันติดอยู่ มันข้องอยู่นี้ คาอยู่ที่นี่ คาอยู่กับอะไร ความรัก ความชอบนี่ ตัวนี้มันเป็นตัวกามท่านเรียกว่า กามตัณหา คือความรัก เรารักกายของเราถ้ามันเจ็บมาเราก็ไม่อยากให้มันเจ็บเราหวงไว้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้มีสติไม่ให้หวง มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราไม่ใช่ตัวของเรา ไปหวงเอาไว้ทำไม ถ้าเป็นของเราและตัวของเราทำไมให้มันแก่ ให้มันเจ็บ ทำไมให้มันตาย ทำไมไม่เอามันไว้ได้ ตัวนี้มันไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของสติปัญญา

เพราะฉะนั้นเมื่อสติปัญญาของเรารู้เท่าทันมันแล้ว สติปัญญาตัวนี้มันปล่อยออกเราก็เห็นช่องทาง คือจิตของเราใจของเรามันลงหรือสงบไปนิดเดียวเท่านั้นแหละ มันจะไปถึงพื้นฐานที่สว่างของใจ บัดนี้ ใจของเราก็รู้ขึ้น ๆ อันนี้มันไปถึงแต่ของปลอม ๆ มากั้นเราไว้ไม่ให้ลงถึงฐานคือจิตใจอันที่แท้จริง และเมื่อจิตใจแน่ที่แท้จริงมันลงถึงฐาน มันก็สว่างจ้า ตัวของเราไม่เคยประคับประคองมา เราจะสะดุ้งพอสะดุ้งมันก็หายไป บัดนี้ตัวนี้มันจะเกิดขึ้นแบบนี้มาอีก ก็เกิดสบาย ในตัวของเรา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าถ้าจิตเราลงหรือสงบครั้งนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะสร้างกองการกุศลร้อยครั้งพันครั้ง ไม่เท่าจิตเราลงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันสบายมากไม่มีอะไรไปเกี่ยวข้องกับจิตใจ ๆ ของเราสบายโรคภัยไข้เจ็บไม่มี บัดนี้จิตของเราลงถึงฐานของใจอันแท้จริง

บัดนี้ให้เราภาวนาดูอยู่ในตัวของเรานี้เราจะรู้เรื่องอาการของเรา ว่าติดอยู่ที่ตรงไหนเราก็พยายามแก้ที่ตรงนั้น เมื่อเราแก้ไขตรงนั้นแล้ว จิตของเรามันเดินไปเอง สติปัญญาตัวนี้จะชี้ช่องทาง บัดนี้เราก็จะมองเห็น เราทำดีมากี่ภพกี่ชาติ เราจะเห็นผลของการกระทำของเรามา มันแตกต่าง ไม่ใช่ว่าตาเนื้อของเรานี้มันหลอกลวง อันตัวจิตที่แท้จริงมันไม่หลอกมันรู้ บัดนี้เราจะไปเกิดภพหน้าชาติหน้าที่เราพึงปรารถนายังไม่ถึงจุดหมายปลายทางของเรา แล้วมันจะไปเกิดที่ไหนมันจะบอก บัดนี้เราเห็นที่ที่เราจะไป บัดนี้ทรัพย์สมบัติที่เราคุ้มครองมา บัดนี้เราจะเห็นอยู่ข้างหน้าอีก เราทำบุญทำทานมามากน้อยมากสักกี่ภพกี่ชาติก็ตาม มันก็เป็นของเราไม่สูญหาย เหมือนกับเราเอาเงินไปฝากธนาคารไว้คนอื่นจะไปเอาไม่ได้ อันนี้เป็นของแท้จริง ๆ บัดนี้คุณงามความดีที่ได้สร้างมา เราก็จะรู้แจ้งเห็นหมดจิตใจของเรามันขยัน มันไม่กล้าทำชั่วพยายามสร้างความดีใส่ตัวของเรา

เพราะฉะนั้นเราอย่าไปดูที่อื่น ดูที่ตัวของเรา ขัดข้องที่ตรงไหนต้องแก้ความขัดข้องที่นั่น เมื่อเราแก้มันแล้วมันก็จะไปของมันเอง เราไม่ได้บังคับมีแต่สติปัญญาจะมองถามอยู่เราจะเห็นดีเห็นชั่วของตัวเรา พอเราชั่วมา เราได้ทำอย่างนั้น ๆ จิตของเรามันรู้มันจะหยุดในการทำชั่ว คิดนิดเดียวก็เป็นความชั่ว มันเป็นตัวกรรมตัวเวรบัดนี้กายของเราก็ดี ถ้าเราไปทำผิดนิดเดียวก็เป็นเวรเป็นกรรม ใจของเราคิดผิดขึ้นมาก็เป็นเวร วาจาของเราที่พูดออกไปไม่ถูกตามหลักธรรมคือความคิดความชอบนั่นก็ผิด มีแต่กรรมแต่เวรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีสติคุ้มครองรักษาตัว คิดก็ดี วาจาก็ดี กายของเราก็ดี ให้เรามีสติคุ้มครองรักษา เมื่อเราจะทำการอย่างนั้น ๆ ก็ต้องคิดเสียก่อนจะทำดี หรือไม่ควรทำ ถ้าควรทำเราจึง ส่งสติ ส่งปัญญาของเราตามดูนึกให้มีสติ ท่านว่าการฝึกสติเป็นสิ่งสำคัญมาก หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านมีแต่ฝึกสติ

เมื่อสติของเราดีแล้ว สติของเรามันแก่กล้าขึ้น ปัญญามันก็รวดเร็ว กิเลศมันจะมาหลอกลวงเรามันก็จะรู้ มันก็บังคับไว้ มันไม่เอา มันตัดออก ๆ ความรักก็ดี ความชอบก็ดี ดีใจเสียใจ มันเป็นเรื่องของกิเลสมันก็ตัดออกหมด ไม่มีอยู่ในตัวของเรา บัดนี้มีแต่ธรรมคือความดีเข้าสู่ใจของเรา เพราะฉะนั้นท่านจึงเปรียบเทียบใจเหมือนกับน้ำ ใจของท่านมาเทียบกับตัวนี้ ใจของท่านความดีมันเต็มอยู่แล้ว มันเต็มเหมือนกับตัวนี้แล้ว จะเอาอะไรมาเติมมันอีก มันเต็มแล้วมันพอแล้ว ความดีของเรามันเต็มอยู่แล้วจะเอาความดีหรือความชั่วมาเพิ่มอีกก็ไม่ได้ มีแต่เหลือออก ๆ เพราะฉะนั้นมันเหลือออกอย่างไรความคิดขึ้นมาซักกี่ภพกี่ชาติไม่มีได้อะไร มันเต็มหัวใจของเราแล้ว มันอิ่มแล้ว มันพอแล้ว ความตายของเราตายมาสักกี่ภพกี่ชาติ มันอิ่มแล้ว มันพอแล้วมันไม่เอา

บัดนี้มันจะมามองดูตัวของเรา ดูความตาย บัดนี้มันไม่มีความรักกับตัวนี้ ไม่มีความชอบกับตัวนี้ มันอยู่เฉย ๆ บัดนี้มันอิ่ม มันพอแล้ว เกิดมาตายเล่นเฉย ๆ มันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าตัวของเราจะดีตัวของเราจะเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ นี่มันเป็นเรื่องของกิเลศ บัดนี้จิตของเราไม่ได้คิดขึ้นอย่างนั้น ถ้าเราเข้าถึงจิตถึงใจของเราแล้ว มันพอหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ใจของเราก็สบาย ถึงแม้มันไม่ได้กินมันก็อิ่ม มันก็พอแล้ว มันพอแล้ว กินไปเพื่อประโยชน์อะไร คือความอยากความกินมันเป็นตัณหา เมื่อมันรู้แล้วมันตัดออก เอาออกหมดมันไม่เอาทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดออกหมด ถึงแม้เราจะเอานั่นเอานี่มามันก็ไม่เอา มันอิ่มแล้วมันพอแล้ว มันเต็มอยู่ในนี้หมด บัดนี้ทรัพย์สมบัติมันเต็มอยู่นี่หมด มันพอแล้ว อันนี้มันหมดความอยาก หมดความดีใจ หมดความเสียใจ เหลือเพียงแต่ของดี ท่านจึงเปรียบเทียบฐานะที่ใจของเรานี้ ถ้าเอาน้ำไปตั้งไว้ไปใส่ไว้ มีแต่ความชุ่มชื้น ยิ้มแย้มแจ่มใสเย็นจิ้วอยู่อย่างนั้น บัดนี้ถ้าเอาความโลภ ความโกรธ ไปตั้งไว้มีแต่ความอยาก มันแตก- ต่างกันอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้อบรมจิตของเราให้มีสติ ให้มีปัญญาคุ้มครองใจของเรา

ใจของเราเป็นบ่อทรัพย์ บ่อสมบัติทุกสิ่งทุกอย่าง บัดนี้เราเกิดมาเราก็ดี เพราะความดีของเราได้สร้างไว้เพียงพอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง บัดนี้มันจะออกมาแสดง กิริยาของเราสวย วาจาของเราก็ไพเราะ บัดนี้จิตใจดูข้างในความโลภก็ไม่มี ความโกรธก็ไม่มี มีแต่ความดีเข้าถึงใจอยู่อย่างนั้น ท่านจึงว่า เมื่อใครตกในขั้นนี้แล้ว ท่านว่าถึงธรรมขั้นนี้แล้ว ถ้าใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นพระตถาคต พระตถาคตท่านอยู่อย่างนั้นแหละ บัดนี้ เมื่อจิตของเรา ใจของเรา ไปถึงท่านแล้วเราสบาย เราเกิดมาหาความสุขใส่ตัวของเรา อันนี้เป็นสุขอยู่อย่างนั้นเรียกว่า บรมสุข ฉะนั้นจะไปหาสิ่งอื่นไม่มีท่านว่าถึงแม้เราจะจะมีทรัพย์สมบัติกองเท่าภูเขาเลากาก็ไม่มีความสุขอะไรแก่ใจ อันนั้นมันเป็นเรื่องความสุขของกาย ของจิตใจ เพื่อแสวงหาความสุขใส่ตัวเท่านั้น ไม่มีอะไร ความสุขตัวนี้ เย็นจิ้วเลย ไม่มีร้อน ถึงไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ มันก็เย็นอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะด่าว่ากล่าวเราอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่มีโกรธ ไม่หงุดหงิด อย่างนั้นแหละ ดังนั้นท่านว่ามีสติมีปัญญาคุ้มครองใจของเราแล้ว อันนี้หาความสิ้นสุดทุกสิ่งทุกอย่างครอบงำไม่ให้ความชั่วเข้าไปทำลายจิตใจ ไม่ให้เกิดความเศร้าหมองไปทำลายจิตใจ ใจของเราสว่าง เหมือนเราเปิดไฟ แต่เราต้องทำให้ได้ และก็แน่นอนมีอยู่ทุกคน ๆ นั่นแหละ

บัดนี้ถามตัวของเราว่าเราเกิดมาหาอะไร เราอย่าเป็นคนท้อแท้อ่อนแอต้องเป็นผู้เฉลียวฉลาดรอบคอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภายนอกและภายใน ภายในเมื่อใจของเรามันจะคิดอะไรจะได้รู้ หากภายนอกมันจะมาอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เรารู้ นี่สติปัญญาของเรามันจะตรวจ คล้าย ๆ กับว่าเรามีผู้รักษาตัวของเรา บัดนี้เมื่อเรารู้แล้ว ท่านจึงว่าจิตอันนั้นแหละตัวพุทธะรักษา ธัมมะรักษา สังฆะรักษา ท่านว่าอยู่ที่ไหนไปที่ไหน ไม่กลัวใด ๆ ใจมันกล้า มันมีสิ่งรักษาเราอยู่ เพราะฉะนั้นท่านครูบา – อาจารย์ ท่านจึง เข้าดงเข้าป่า ไม่กลัวช้างกลัวเสือ ไม่กลัวผีสางใด ๆ เลย ไม่มีกลัว มีสิ่งรักษาเราอยู่ แต่ขอให้เราทำจริง ๆ ถ้าเราทำไม่จริงไม่มีใครรักษา เสือกินตายหมด อันนี้ครูบาอาจารย์เข้าดงเข้าป่า ถึงแม้มันจะมาหาครูบาอาจารย์อยู่ ตามประวัติของท่านแล้วมันไม่ได้มาทำร้ายท่าน มันรู้ว่าเรามาทำดี เขาก็เป็นผู้รักษาความดีเหมือนกันกับเรา เขาจึงเรียกว่าสัตว์คำว่า สัจ คือ สัจจะ เป็นของจริง บัดนี้ เขาก็มีศีล มีสัจเหมือนกันกับเราเพราะฉะนั้นพวกสัตว์มันอยู่ตามบริเวณวัดนี้ เขารู้จัก ตัวอย่างพวกเราใส่เครื่องขาว ใส่ผ้าสีเหลือง ๆ เขาไม่กลัวเรานะ กระต่ายเหมือนกัน มันมาเล่นอยู่กับเราอยู่ ถ้ามันเห็นญาติโยมมันก็จะกลัว มันวิ่งเข้าป่าเลย มันต่างกันอย่างนี้แหละ สังเกตพวกสัตว์เขาก็รู้ว่าพวกนี้ไม่ใช่พวกจะมาทำร้ายกัน เขาไม่กลัวนะสังเกตดูตัวขาว ๆ อาตมาเอาอาหารให้มันกินมันยิ้มกับอาตมา อันนี้ถ้าญาติโยมให้มัน มันไม่อยู่หรอกมันเข้าป่าไปเลยล่ะ อันนี้ศรัทธาญาติโยม

พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ถ้าไม่มีสติก็ไม่รู้ธรรม เพราะธรรมมันอยู่ที่ลึกลับ ที่เราไม่รู้ถึงจิตของเรานั้น เพราะมีอวิชชาอยู่ เราไม่รู้ ตัวนี้แหละมันพาจิตของเราไม่เก็บเรื่องนั้น ไปเก็บเรื่องนี้มาปรุงแต่งขึ้น เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีสติ ฝึกหัดสติให้มันรู้เท่าทันกลมายาของจิต คือจิตอวิชชา ถ้าตาของเราไม่เพียงพอ มันก็ไม่รู้เขา อันนี้ตาเราเห็นก็ว่าเราเห็นอยู่ แต่ที่มันไปเก็บเอาเรื่องนี้ เข้ามาไว้นี้มันมาปรุงแต่งขึ้น เรื่องอาการของจิตตัวนี้มันไม่อยู่เฉย ๆ อันนี้มันจะเป็นเหมือนอย่างกับว่า คนเรามันไปเก็บนั่นเก็บนี่ เอานั้นเอานี้มาปรุงมาแต่ง คือตัวนี้มันเป็นตัววัดได้มันหมุนไม่ให้เราโลภ ไม่ให้เราหลง เรานั่งให้จิตของเราสงบ ให้จิตของเราถึงฐานของใจจริง ๆ บัดนี้ถ้าใจของเรามันสว่างขึ้น เราจึงจะเห็นเราจึงจะรู้ตัวนี้ ถ้าหากจิตของเราลงไม่ถึงพื้นฐานของใจ อันนี้มันไม่เห็น มันอยู่ลึกตัวนี้ เวลามันออกมานั้นเราก็ไม่รู้ เมื่อเวลามันเข้าไปเราก็ไม่รู้ มันละเอียดมาก เผลอแผลบเดียวเท่านั้นมันออกไปแล้ว เมื่อเวลามันไปเก็บเอานั่นเก็บเอานี่เข้ามา เราไม่ได้ตรวจดู บัดนี้มันเอาเขามา มาปรุงแต่งความปรุงแต่งมันเป็นความหลอก หลอกลวงพวกเราให้หลงไป เมื่อเรายิ่งลุ่มหลงไปนั้นแหละตัวอวิชชา คือความหลงตัวนั้นแหละ มันเป็นยาพิษเข้าเสกสรรปั้นยอจิตของเราไม่ให้เรารู้ จิตของเราไม่รู้ พอไปยึดตัวนั้น เกิดความชอบ เกิดความอยาก บัดนี้เรามาติดอยู่อย่างนี้ เราไม่รู้เรื่องอาการของจิต

เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เจริญภาวนา เจริญสติปัฎฐาน ให้มาก เมื่อเวลามันเกิดขึ้นมาเราก็จะรู้เท่าตามทัน พอเกิดความรัก ความชอบ เราก็ให้มีสติบังคับใจข้างใจ เราอย่างไปบังคับข้างนอก ตัวนี้แหละเป็นตัวการ มันอยู่ในตัวของเรานี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่า ให้มีสติ ให้มีปัญญา ให้มีศรัทธา ให้มีความเพียร พระพุทธเจ้าท่านเดินอยู่ในธรรมบทนี้ ศรัทธาของเราไม่ใช่ว่าจะไม่มี ให้ฝังลงในใจของเราจริง ๆ ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้มีศรัทธา ท่านสอนอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น เมื่อเรารู้แล้วเราก็ปล่อยออกไป ปล่อยออกไป จิตของเรา ใจของเรา มันก็ค่อย ๆ ก้าวลงไป ก้าวลงไป ถึงพื้นฐานของใจจริง ๆ พื้นฐานของใจมันสว่างอยู่อย่างนั้นอันนี้มัน คล้าย ๆ กับว่าพระอาทิตย์มีเมฆไปปกปิดกำบังเรา เราก็มองหาพระอาทิตย์ไม่เห็น เมื่อเมฆขยายออกจากพระอาทิตย์พระจันทร์แล้ว เราก็จะมองเห็นพระอาทิตย์ นี้ก็เหมือนกัน เมื่ออวิชชาตัวนี้มันครอบคลุมอยู่เมื่อมันขยายออกไปจากดวงใจของเราแล้ว ใจของเราก็จะพุ่งแสงสว่างขึ้นมา แล้วก็มองเห็นดีเห็นชั่วในสิ่งนั้น หากเขาจะปรุงแต่งให้เรารู้ เขาจะทำให้เรารู้ เขาจะสอนเรา

พระพุทธเจ้าท่านจึงว่าใจนี้เราเอาอยู่ ถ้าเราปฏิบัติถูกทางใจของเรา จะเป็นของประเสริฐ ให้เกิดขึ้นมาให้มีความภูมิใจ ไม่มีอะไรจะเสมอเหมือนดวงใจนี้ ศรัทธาของเราตัวนี้ให้เชื่อจริง ๆ ให้มันเกิดขึ้น การกระทำของเรา กิริยามารยาทมันจะค่อย ๆ อ่อนตัวลงให้เราสังเกตดู เอาสติของเราตามดู ปัญญาของเราก็ตามกันไปด้วย ท่านจึงว่าสติของเราเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วสติปัญญา ตัวนี้ไม่มีอะไรเสมอเหมือน มันเกิดเป็นมหาสติ ปัญญาตัวนี้เป็นมหาปัญญา อันนี้แหลมคมรู้แจ้งแทงตลอดจริง ๆ ไม่มีอะไรเหมือน บัดนี้ตัวของเราก็ไม่ได้หลง ไม่ได้หลงตามความเสกสรรปั้นยอของกิเลสต่อไป สติตัวนี้พอมันคิดอะไรขึ้นมาทางที่ดีมันก็รู้ มันก็ปล่อยให้คิดไป ถ้ามันคิดขึ้นมาในทางที่ชั่ว คิดในทางที่ไม่ดีตัวนี้แหละมันจะบังคับ สติตัวนั้น มันจะบังคับลง บัดนี้ปัญญามันจะสอดรู้ คือความรู้ความเห็นของปัญญานั้น ปัญญามันจะสอดเข้าไป มันจะรู้ว่าตัวนี้มันผิด มันจะบอก ไม่ควรคิดขึ้นมาไม่มีประโยชน์ เพราะตัวนี้มันเป็นเรื่องของอวิชชา จิตใจของเราเขารู้จัก จิตของเราจะระงับออกไป และปัดเป่าออกไป กวาดออกไป เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีสติ ให้มีปัญญา ให้มีศรัทธา คือความเชื่อมั่น กวาดออกไป กวาดออกไป เหมือนเรากวาดบ้านเรา ถ้าเรากวาดและทำความสะอาดอยู่ประจำ บ้านเราก็จะสะอาดไม่มีฝุ่น อันนี้ก็เหมือนกันที่ปกปิดกำบังอยู่เดี๋ยวนี้ มันเยอะ เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าจิตของเรามันเป็นอวิชชา มาตั้งกี่ภพกี่ชาติมา เราไม่รู้ว่าเราเป็นอวิชชา เราหลงไปตามเขา ตัวสมมติมันปรุงแต่งขึ้นมา มันรู้จักจิตนิสัยของเราชอบอย่างนั้น ชอบอย่างนี้มันก็ปรุงแต่ง เหมือนกันกับเสื้อผ้าที่เราใส่อยู่นี่แหละ เราชอบอย่างนั้นมันก็ปรุงแต่งขึ้นมา เราก็ว่าดี ว่าชอบ ว่าสวย อยู่อย่างนั้นแหละ หลงไปตามความเสกสรร ปั้นยอของสมมติแล้วอันนี้คือสมมติตัวนี้ บัดนี้เราก็ไปติดแล้ว พอเราหลงติดยึดสิ่งนี่มาเป็นเราเป็นของเรา ยึดเข้ามา ๆ ใจของเราก็ว่าเป็นของเราแท้ที่จริงมันไม่ใช่

เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า อนิจจังตัวนี้ บัดนี้ตัวของเราก็ไม่รู้ ถึงแม้หูเราได้ยินตาก็ได้เห็น มันก็ไม่ปล่อย มันก็ว่าเป็นตัวของเราอยู่ มันฝึกลึกมาตั้งกี่ภพกี่ชาติแล้ว บัดนี้มีมันถอดยาก เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เดินสติ เดินปัญญาให้รู้เท่าถึงกัน อย่าให้มันหลอกลวงเราทั้งหมดถ้าหากเราไม่รู้ ทั้งหมดนี้ ท่านบอกว่าเป็นตัวอนิจจัง หูเราได้ยินเราก็อย่าไปเชื่อ ตาเห็นก็อย่าไปเชื่อ จมูก ลิ้น กายใจของเราก็อย่าไปเชื่อ ปล่อยให้ออกให้หมด เฉย ๆ ดูปล่อยให้มันสู้กันอยู่สู้กันดู จิตของเราก็จะสงบดี ถ้าเราปล่อยให้มันเย็นมันจะรวบรวมเอาทั้งหมดนี้ทิ้งไปเลย อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันไม่ใช่ ให้เชื่อพระพุทธเจ้า นี้ศรัทธา ตัวนี้แหละสำคัญอีก แต่เราไม่เชื่อ แต่เราได้ยินพระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังอยู่ แต่ว่ามันไม่ปล่อย เพราะจิตของเรามันยังไม่ลงถึงฐานของใจ มันไม่ไปเห็นต้นเหตุ ที่มันเกิดขึ้น มันแสดงขึ้น เมื่อมันไปเห็นต้นเหตุ มันแสดงขึ้นมันเกิดขึ้นแล้วมันก็จะปล่อยไปหมด เพราะทั้งโลกนี้เป็นตัวอนิจจังทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง เกิดมาแล้วต้องมาแก่มาเจ็บมาตายเหมือนกันหมดตลอดทั้งสัตว์ตลอดต้นไม้ เมื่อจิตของเรามันรู้ไป รู้ไปแล้วมันไม่ยึดว่าบ้านนี้เป็นของเรา เสื้อผ้าที่เราเอามาใส่ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่อาศัยกันชั่วคราว ตัวนี้ก็เหมือนกันถ้ามันคิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาเราอย่าไปตาม ให้มีสติ คิดตามถ้ามันคิดในทางที่ดีในทางที่ชอบ เราจึงตามมันดู

เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ระมัดระวัง ให้มีสติ ดีกับชั่วมันคู่กัน ถ้ามันคิดดีขึ้นมาเราอย่าเพิ่งไปเชื่อแต่ให้เรารู้ว่าดี เฉย ๆ แต่เราอย่าไปเชื่อมัน มันกลับชั่วขึ้นมา ครั้งแรกให้ดูทางหน้าบัดนี้มันจะกลับข้างหลังมาให้ดู เราจะไปหลงมันอยู่ ดีกับชั่วมันอยู่ด้วยกัน คือความรักกับความเกลียดเมื่อมันหยุด ความรัก ความเกลียดความแค้นมันจะเพิ่มขึ้นมา มันแทรกกันอยู่ตัวนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ชำนิชำนาญในการปล่อย ก็ปล่อยหมดเราอย่าไปเชื่อข้างนอกก็ตามข้างในก็ตาม ข้างนอกคือตาเห็น หูได้ยิน จมูกเราได้สูดกลิ่น ลิ้มรส ได้ลิ้มรสอยู่ข้างนอก ข้างในคือใจมันคิดมันปรุงมันแต่ง เราอย่าไปเชื่อปล่อยทิ้งไปหมด ถ้าเรายังปลดยังปล่อยไม่เป็น ต้องปล่อยให้มีประโยชน์ ตัวนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเราทำไมให้มันแก่ ทำไมให้มันเจ็บ มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นั่นมันแสดงถึงเรื่องนี้

เพราะฉะนั้นขนาดเขาแสดงให้เรารู้เราเห็นอยู่ มันยังไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา แค่เราจามฟิดเดียวเท่านั้นแหละวิ่งไปหาหมอเลย มันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ เรื่องอาการของจิตเรื่องอาการของความหลงตัวอวิชชาตัวนี้ มันเก่ง มันทับถมเราหมด ไม่ให้เราก้าวไปไหนเลย เพราะฉะนั้นเราจึงปล่อย เราปล่อยไปให้หมดเราอย่าไปเอาอย่ายึดว่าอันนี้เป็นเรา อันนี้เป็นของเรา อันนี้เป็นลูกเรา อันนี้เป็นสามีเรา อันนี้เป็นภรรยาเรา อย่าไปเกี่ยวข้องมันเฉย ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงฝึกจิตของเราฝึกสติของเราให้มันรู้ บัดนี้เมื่อ ธรรมมันเกิดขึ้นเมื่อมันสว่างมันไปสว่างในจิตของเรา ใจของเรามันค่อย ๆ รู้เองมันค่อย ๆ ปล่อยวางเอง มันไม่ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเราทั้งหมด เหมือนกับพวกแหละเราไปยึดสถานที่ว่า นี่สวนเรา นี่นาเรา นี่ที่ดินเรา แต่มันหาใช่ของเรา ไม่มีใครเอาไปได้ มันเป็นของธรรมประจำโลกประจำธรรม มาแต่ไหนแต่ไรมา แต่ตัวไปยึดนี่คืออุปทานของจิต อุปทานของใจ บัดนี้เราปล่อยออกไปให้หมด ตัวอุปทาน ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา เรารู้แล้วให้ปล่อยวางให้หมด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีแน่นอน ร่างกายของเราที่เราครองอยู่ เมื่อลมหายใจข้างในมันไม่ออก ข้างนอกมันไม่เข้า เขาก็เรียกว่าเราตาย เขาก็นำไปเผาทิ้ง มันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ นี่แหละท่านเรียกว่าตัวคลุกขมงมงายมายึดของเก่าเข้าใจว่าเป็นเราเป็นของเรา เราเกิดมาเราก็เอาของเก่านี้แหละคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะมาเอาความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสมมติ มันมีแต่ของเก่าอยู่นี่ทำมาหาอยากหากิน พอแก่ชราก็ตาย เกิดมาอีกก็มาเอาของเก่าอีกอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีสิ้นสุด

เพราะฉะนั้นให้มีสติ ให้มีปัญญา ตัวนี้แหละตัวจะตัดสินใจ ให้เรา ว่าเราจะเกิดอีกไหม พระพุทธเจ้าท่านจึงถามจิตของท่านว่าเบื่อแล้ว เบื่อความเกิด พอแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาเป็นกี่ภพกี่ชาติ เกิดตายมานี้มีแต่ได้รับความทุกข์ ความเวทนาอยู่ตลอดเวลา ไม่เอาอีกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านจึงอิ่มแล้ว พอแล้ว เหมือนตักน้ำใส่ขวดใส่แก้วมันเต็มแก้ว เต็มใจของพระพุทธเจ้า เต็มทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่มีการบกพร่อง ท่านจึงว่า หากจะไปหาเอาดีเอาชั่วเพิ่มเติมให้อีก มันพอแล้วเต็มแล้ว ไม่เอาแล้วท่านว่าอันนี้เขาสมมติเฉย ๆ เราไปหลงยึด มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บัดนี้ให้เราเข้าใจจริง ๆ ใจของเราถ้าเราอบรมให้ดีใจของเราจะกลายเป็นของประเสริฐ จะพาตัวของเราออกจากหลุมลึกที่กองทุกข์ตัวนี้ได้ ไม่มีสิ่งอื่นจะเอาตัวของเราออกจากตัวนี้ได้ เราอย่าไปเชื่อหากคนนั้นว่าอันนั้นดี คนนี้ว่าอันนี้ดี อย่าไปเชื่อ แต่หูเราฟังเฉย ๆ เขาชอบเขาก็ว่าดี ถ้าเราอยากพูดกับเขาเราก็มีปาก ทำไมเราจะพูดไม่เป็น ถ้าพูดดี พูดชั่ว พูดชอบ เพราะฉะนั้นให้จิตของเรามันรู้จริง ๆ เมื่อรู้แล้วมันไม่ยึด แล้วสังเกตว่า ตัวของเราไม่ยึดไม่ถือว่าอันนี้มันเป็นอย่างนี้ จิตของเราก็ค่อย มีกำลังเรื่องนั้นมามันก็ปล่อยเรื่องนี้มันก็ปล่อยใจของเรามันก็เบาไปเพราะมันไม่มีเรื่องไม่มีงาน ใจของเรามันเบา หากไปยึดเอานั่น ไปยึดเอานี่ ไปให้ใจคิดไปให้ใจผูก ใจของเรามันรำคาญเป็นอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรจะร่ำจะรวย เหมือนเราเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ ไม่ร่ำไม่รวยหาอยากหากินใช้ไปก็หมดไป หาใช้ไปใช้ไปหมดไปเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ ข้างในมีก็เหมือนกันกับข้างนอก

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นข้างนอกแล้วรู้เท่าถึงใจตนแล้ว ให้น้อมใจเข้าไปสู่ข้างใน ให้ใจข้างในมันรู้มันปล่อย ถ้าข้างนอกได้แล้วมันก็สบายเบา อยู่อย่างนั้นแหละไม่ยึดไม่ถือ ถึงแม้เรามีอยู่เราก็จะเก็บไว้ใช้ เมื่อเราจากไปคนที่เขายังอยู่เขาก็จะใช้ต่อไป อยู่อย่างนั้นแหละ เอาไปไม่ได้เพราะมันเป็นของประจำโลก สิ่งเหล่านี้ท่านเรียกว่าตัวโลภ เอาไปไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าที่ดินบ้าน ที่สวน ที่ไร่ ที่นา อะไรก็ตาม เอาไปไม่ได้ แต่เราเกิดมาเขาก็ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ เมื่อตายไปแล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นของเรา คนที่เขายังอยู่ก็ประคองรักษา อยู่ไป เมื่อเขาตายไปเขาก็เอาไปไม่ได้ อยู่อย่างนี้แหละมาแต่ไหนแต่ไรมา อันนี้ท่านเรียกว่าโลกสมมติ โลกอนิจจัง มีแต่ของไม่แน่นอน ทั้งนั้น บัดนี้เราต้องการเอาอะไร

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ถามตัวของเราว่าเราจะเอาของจริง หรือของปลอม ตัวนี้มันเป็นของปลอม มันเป็นของหลอกลวง ถ้าเราเอาของจริงเราก็ปฏิบัติจริงเข้าไป จิตใจของเราก็จะรู้จริงเห็นจริง สติของเราทุกด้านทั้งภายนอกและภายใน ถ้ามีสติปัญญาแล้ว เราก็ออกมาจากกองทุกข์ตัวนี้ได้ ออกจากของสมมติตัวนี้ได้ของยึดมั่นถือมั่นตัวนี้ได้ เพราะมันมัดเราทุกคนตลอด เกิดขึ้นมามันก็มัดไม่ให้ไปที่ไหน พอเกิดขึ้นมาก็เอาความอยากตามมา ถ้าไม่ได้อย่างสมใจก็ร้องไห้ เสียใจ มันจะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ นี่แหละให้เราเข้าใจมันอย่าไปเอามันอย่าไปยึดอย่าไปถืออย่าว่าเป็นเราเป็นของเรา ปล่อยออกไป ๆ ถ้าเราไม่ช่วยเหลือเราใครจะมาช่วยเหลือ ให้เราตั้งใจตัวนี้ มีศรัทธา เป็นสัจธรรม คนอื่นจะมาช่วยทำไม่ได้หรอก ให้เราสังเกต เรากินข้าวหากคนนั้นคนนี้จะกินข้าวแทนเรา ให้เราอิ่ม มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่อิ่ม สามี ก็ตาม ภรรยาก็ตาม ลูกก็ตาม หลายก็ตามไม่มีใครช่วยท่านได้

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงว่า “อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ” ตนและเป็นที่พึ่งของตน อย่าไปอาศัยจมูกคนอื่นหายใจ เมื่อให้เราเข้าใจ ฝังใจอย่าไปอ่อนแอ มิฉะนั้นเราจะสู้มันไม่ได้ มันจะผูกมัดเราหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะไปโน่นไปนี่มันผูกไปหมดและไปไหนไม่ได้ ตัวนี้แหละมันทำลายเราทุก ๆ คน มันทำลายเรา ให้เราลุ่มหลงในกิเลสตัวนี้แหละ ท่านจึงเรียกว่าข้าศึก ท่านเตรียมตัวท่านดีแล้วหรือยัง เพราะมันมีแต่หาเรื่องใส่ อยู่อย่างนั้น ตาก็ดี หูก็ดี จมูกก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี ใจก็ดี มันหาเรื่องใส่เราให้เราติดนั่นคิดนี่แล้วก็ไปยึดเอามา ถ้าได้ยินเสียงไพเราะเสนาะหูก็เกิดความชอบขึ้น มันจึงเอาเข้ามาทำลายเราอยู่ จิตของเรามันก็ไม่สงบ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่เรื่อง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้มีสติให้มีปัญญาตรวจตราดูมัน ให้มันรู้อย่าไปถือเรื่องนี้ให้ปล่อย เรื่องของโลก เพราะฉะนั้นเราจึงไม่รู้ ยกตัวอย่าง เช่น เราเป็นหนี้เขาเราไม่ส่งเขา บัดนี้มันจะทำให้เราคิดทำให้จิตใจของเราไม่สบายอันนี่ท่านว่าโลก คำว่าโลกเจือปนติด้วย ดี และ ชั่ว ให้เราเข้าใจมันอยู่ในตัวของเรานี่แหละ พิจารณาดูตัวของเราให้มันรู้ ให้มันปล่อยออก เราอย่าไปยึด ถึงเราไปพบไปเจอในตัวของเราก็ปล่อยออกให้หมด ดีเราอย่าเอา ชั่วเราก็อย่าเอา เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งคู่กันของโลก ความรัก ความชอบมันเป็นคู่กันอยู่ ความเกิด กับ ความตาย มันเป็นคู่กันอยู่ อย่าไปเอา มันเป็นของ ๆ โลก ถ้ารู้แล้วให้ปล่อยวาง ให้รู้เฉย ๆ เหมือนกับผู้หญิงผู้ชายมันเป็นคู่กันเฉย ๆ เมื่อรู้แล้วเราก็ปล่อย อย่าไปยึดว่าเป็นสามีเรา ภรรยาเรา อย่าไปคิดอย่างนั้นอย่าไปหลงอย่างนั้น ท่านว่า ความดีความชั่วก็เหมือนกันเป็นของคู่กันอยู่ มันเป็นเรื่องของโลก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้ปล่อยออกให้หมด พวกเรามาติดอยู่ที่นี่แหละ มาติดมาข้องอยู่ที่นี่เลยไม่รู้จักปลดจักปล่อย ไม่รู้จักปล่อยวางพาออกจากตัวของเรา เรามาติดดี ติดชั่ว ติดเกิด ติดตาย อยู่อย่างนั้นแหละ เราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านจึงให้รู้หมด รู้แล้วอย่าไปยึดเอาอย่ามาคิด

ท่านจึงให้มีสติบังคับตัวนี้แหละเอาไว้ อย่ามาคิดอย่ามาปรุงอย่ามาตกมาแต่งว่าดีว่าไม่ดี อันนี้เรามาติดดีติดชั่ว หลงดีหลงชั่วมันเป็นของประจำโลกมันเป็นภาษาของสมมติ ของอวิชชาสมมติ ถ้าเราชอบแล้วก็ว่าดี ถ้าไม่ชอบแล้วก็เกลียดก็ว่าชั่ว ถ้าจิตของเรา ใจของเรามันพลิกแพลงอยู่เหมือนกับปากกาต้องการตัวหนังสือ อันไหนมันชอบมันก็เขียนลงว่าชอบว่าดี ปากกามันมีน้ำหมึก น้ำหมึกอันนั้นท่านเรียกว่าน้ำสมมติ ตัว (ก.) ก็ออกมาจากตรงนั้น ตัว (ข.) ก็ออกมาจากตรงนั้นตลอดตัวสุดท้ายก็ออกมาจากตรงนั้น ปากกาด้ามนี้ก็ด้ามเดียวกัน แต่ว่ามันมาเปลี่ยนแปลงรูปนามมัน มันให้ชื่อไม่ตรงกันตัวนั้นว่าอย่างนั้น ตัวนี้ว่าอย่างนี้ เหมือนกันกับว่า ผู้หญิง ผู้ชาย ธาตุขันธ์อันเดียวกันเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงปล่อยออกได้ ไม่ว่าคนนั้นเป็นผู้หญิง ไม่ว่าคนนี้เป็นผู้ชาย ท่านมาตรวจดูสภาพร่างกายแล้วมันก็คือธาตุขันธ์อันเดียวกัน อนิจจัง ของไม่เที่ยงอันเดียวกัน ผู้ชายก็มีเหมือนกัน ธาตุนี้ เป็นธาตุที่หลอกลวง ธาตุไม่แน่นอนท่านจึงตัดออก ไม่เอา บัดนี้ท่านจึงไปหาความจริง แต่อยู่ในนี้ทั้งหมด

บัดนี้เมื่อใจของเราไม่คิดขึ้นมาใจของเราอยู่เฉย ๆ ท่านเรียกว่าความสงบของใจอันนั้นมันเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อความสงบมันเกิดขึ้นในใจนั้น มันคิดว่าดี ว่าชั่ว ว่ารัก ว่าเกลียด มันเฉย ๆ อยู่ ดีมันก็ไม่เอา ชั่วมันก็ไม่เอา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนจิตของท่านให้รู้ ให้เราคิดรักษาตัวของเราสร้างตัวของเรา ถอนตัวของเราออกจากสิ่งที่ผูกมัดเรา คือความรักตัวนั้น อันนั้นมันไม่อยู่ที่ไหนมันอยู่ในใจ ให้เราตัดออก อย่าไปเชื่อมัน เพราะสภาพตอนนี้เป็นสภาพของ อนิจจัง อย่าเอาไปถือว่า เป็นเราเป็นของเราให้รู้เมื่อรู้แล้วให้ปล่อยตามเอาไว้เฉย ๆ ความเฉย ๆ นี่ท่านเรียกว่าอุเบกขา ไม่เอาดีไม่เอาชั่ว ไม่เอารัก ไม่เอาชอบ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับอะไร ให้เฉยๆ อยู่ตาเราเห็นก็เหมือนกัน หูเมื่อได้ยินก็เหมือนกันให้เฉย ๆ อันนี้บังคับมันไว้ให้หมด อย่าให้มีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดถ้ามันคิดขึ้นมามันเผาเรา ถ้าไปตกที่เราไม่รู้เราลุ่มหลงไป บัดนี้มันก็คิดขึ้นกว้างออกไป ๆ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านให้เราน้อมเข้ามา น้อมเข้ามา ให้มันเห็นอยู่ในใจของเรานี้ทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายในเมื่อจิตของเรามันรู้เท่าถึงกันมองไปที่ไหนก็เหมือนกันหมด มองไปที่ป่าก็เหมือนกันกับว่า สัตว์โลกอยู่ในบ้านนี่แหละเขาก็มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ถ้าเขาไม่มีปากมีเสียงเราต้องสังเกต น้อมมาสอนเรา สิ่งที่ไม่ดีก็เยอะ สิ่งที่ดีก็เยอะ เหมือนกับคนอยู่ในบ้านคนดีก็มีคนชั่วก็มี เหมือนกันหมด

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า โลกสังขารธรรมเป็นของไม่เที่ยงทั้งหมด เราจะหาสิ่งไหนเที่ยงยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้ ตัวนั้นแหละเราจะเดินเข้าสู่ทางพลิกจิตของเราเดิน เหมือนเรามีภาวนา แต่คนไม่มีทาน ไม่มีศีล ไม่มีภาวนา ต่างกัน อย่างไร มันเป็นอย่างนั้น บัดนี้เราจึงน้อมจิตของเรานี้ให้อยู่ สงบจะเห็นอยู่ในนี้หมด เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ฝึกหัดสติเราให้รู้ อย่าให้มันไปข้องติดอยู่กับสิ่งใด ๆ เหล่านี้จิตของเรารู้ มันเป็นธรรมดา เป็นอนิจจัง มันเป็นของไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของเรา สิ่งนี้เรามาหลงยึดหลงถือนี่ มารักมาชอบอยู่นี่ มาหลงดีหลงชั่วอยู่ ถ้ามันคิดขึ้นมาเราก็ว่าเราคิด แต่จริง ๆ ธาตุขันธ์ของเขาหมุนเขาทำงาน กิเลสมันมัดมันครอบครองอยู่ มันส่งส่ายของมัน ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง มันทำงานอยู่ในใจของเรานี่ มันอาศัยใจเรานี้แหละ บัดนี้มันบังคับใจของเราไม่ให้บอกข่าวแก่พวกเรา บัดนี้ใจมันไม่มีที่อาศัยของพวกกิเลส ตัณหา พวกนี้ เข้าไปครอบงำหรือปกครอง มันจะดีดดิ้นไม่ได้ เขาว่าดีก็ดีไปตามเขา เขาว่าชั่วก็ชั่วไปตามเขา แต่มันไม่สามารถกล้าจะบอกเพราะอวิชชาตัวนั้นมันบังคับไว้ บัดนี้ จิตของเรามันไม่มีใครช่วยเหลือ

พระพุทธเจ้าท่านว่า จิตของเราถ้าเรามีการช่วยเหลือจิตของเรา จิตของเราจะเป็นจิตที่ประเสริฐขึ้นมา สติปัญญา ของเรามันก็ไม่มี บัดนี้มันก็ปล่อยให้แต่ความชั่วเข้ามาทับอยู่อย่างนั้น ก็ทำให้เรามองหาเราไม่เห็น เพราะฉะนั้นพระพุทธท่านเจ้าจึงว่า ให้ออกให้หมด ดีก็อย่าเอา ชั่วก็อย่าเอา บุญก็อย่าเอา บาปก็อย่าเอา ให้เฉย ๆ อยู่ เอาไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแต่ก่อนพระพุทธเจ้าก็เคยติดอยู่เหมือนเรานี้แหละ ท่านปีนล้มปีนตายมาห้าร้อยชาติ ท่านมาติดอยู่ที่นี่แหละ แต่ก่อน มาติดอยู่จิตชั่วนี้ มาเกิดเป็นนั่นเกิดเป็นนี่อยู่อย่างนั้น ท่านได้ทุ่มเท พลังกำลังของท่าน ตายก็ตาย เป็นอะไรก็เป็น สู้อยู่กับกิเลส ไม่ให้กิเลศกิน ไม่ให้เรากิน 49 วัน ท่านรอดตาย มดเจาะลูกตาเข้าไปอยู่ในเบ้าตาของพระพุทธเจ้า ท่านควักออกมาดูได้ข้างละเท่ากะลามะพร้าว อันนี้ท่านก็ไม่ว่าอะไร อันนี้ท่านปล่อย ท่านไม่ได้ห่วงท่านรอดตาย ท่านว่าไม่มีอะไรจะหมดห่วงเท่าถอดจิตออกจากกองทุกข์

เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าจะสร้างตึกรามบ้านช่องไปถึงดาวดึงส์ก็มีแต่จะไปร้องไห้ โอดอวนครวญครางอยู่อย่างนั้นแหละ อันนี้เราไม่เหมือนดาวดึงส์ เพราะดาวดึงส์มองไปที่ไหน ๆ ก็ระยิบระยับไปหมด ไม่โอดอวนถึงความอยากความกิน ในเมื่อวันอิ่มแล้ว มันต่างกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าไปสร้างตึกรามบ้านช่อง แข่งขันดาวดึงส์ พวกเรามีแต่จะไปร้องครวญครางอยู่อย่างนั้นแหละ ดาวดึงส์เขาพอแล้วอิ่มแล้ว ตัวของเขานึกถึงอย่างนั้นอย่างนี้เขานึกขึ้นมาได้เต็มไปหมด อันนี้แหละเราต้องทำให้มันได้ ทำให้มันเห็น มันอยู่ในตัวของเรานี้แหละเราจะเห็น เราอย่าไปสงสัยว่าที่อื่น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ท่านก็เห็นอยู่ในตัวท่านนั่นแหละ ท่านนำมาพร่ำสอนพวกเราพวกเราอย่าไปสงสัย เหมือนกันกับว่าเปรียบเทียบภายนอก เหมือนกันกับว่าต้นพริก มะเขือ ผลพวงก็อยู่ที่ต้นของมันนั้นแหละมันไม่ได้ขอมาจากต้นอื่น บัดนี้เขาได้แสดงให้เห็นว่าโลกได้รับความสุขความต้องการอยู่กับเขาอยู่ เขาแสดงความบริสุทธิ์ให้โลกได้เห็นอยู่ทำไมเราถึงไม่เชื่อ อันนี้ไม่เห็นว่ามันจะต้องไปขอมาจากต้นนั้นต้นนี้ เหมือนกล้วย มะละกอ มันก็เป็นผลของมันอย่างนั้น ถ้าลำต้นมันสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นให้เราเข้าใจอย่างนั้น เราจะไปหาว่าธรรมมีอยู่ที่นั้นที่นี่ไม่ใช่ มันอยู่กับตัวของเราเอง พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า ทำดีได้ดี ไม่ได้ชั่ว เราต้องการชั่วก็ไม่ชั่ว เพราะการกระทำของเรามันไม่ชั่ว เพราะการกระทำของเราเป็นต้นเหตุ ผลของมันจะให้เป็นอื่นมันไม่เป็น เป็นของดีทั้งนั้น เราทำดีแล้วไม่ต้องสงสัยว่าจะเป็นอื่นต้องได้ดีแน่นอน

บัดนี้เราจะเชื่อไหมตัวศรัทธาตัวนี้ หากเราเชื่ออย่างนั้น ศรัทธาอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อ ศรัทธาค่อย ๆ จะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เชื่อศรัทธานั้นก็จะไม่เกิด ท่านจึงว่า ศรัทธา แปลว่าความเชื่อ ความเลื่อมใส บัดนี้ความเลื่อมใสตัวนั้น มันจะสบายขึ้นมาเราจะมองเห็นทางเดินของเรา ทั้งดีและชั่ว และนี่จิตของเราใจของเราก็นึกแต่จะทำทางที่ดีเพราะมันเห็นมันเกิดขึ้น ท่านจึงว่าดีใดไม่เห็นว่ามีโทษ ดีนั้นแหละชื่อว่าดีเลิศ ได้สมบัติใดทั้งปวงไม่ประเสริฐเท่าได้ตน นั้นเราเอาตัวของเราได้แล้ว เพราะตัวเราเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สมบัติทั้งปวง ท่านว่าบัดนี้ ผลของมันก็จะเกิดขึ้น ๆ จากตัวของเรานี้แหละ เราไม่ได้ไปหาที่อื่น เหมือนกันกับว่าแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างทรัพย์สมบัติในแผ่นดินนี้ ให้โลกได้พึ่งพาอาศัยอยู่ เราเกิดมาก็อาศัยแผ่นดินนี้แหละ อยู่ทุกวัน บัดนี้เมื่อเราอาศัยแล้ว หมดกำลังแล้ว คือความตายของเรามาถึงแล้วเราก็ส่งไป ไปส่งเขาไปเป็นดินเหมือนเก่าเอาไปไหนไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนโลกอยู่ พวกเราที่เกิดมาหาอยากหากินแล้วก็ตายเป็นดินเหมือนเก่า ท่านเรียกว่า วัฎจักรความหมุนของโลก มันหมุนอยู่อย่างนั้น เราเกิดมาหาอยากหากิน มาเฒ่ามาตาย มาหลงของเขาท่านจึงว่า หลงของเขาว่าเป็นของใหม่อยู่เรื่อยๆ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าก็หลงมาเหมือนกับพวกเรา มาสักกี่ภพกี่ชาติท่านรอดเป็นรอดตาย ท่านจึงรู้

คือจิตของเรายังมีผู้ช่วยเหลือ มันจึงหลงไป เพราะอวิชชามันบังคับมัน มันหานั่นหานี่มาให้เรา มาให้จิตของเรา เหมือนกับคนกินเหล้าอันนี้ก็เมาไป เมามาบัดนี้ ไม่มีหนทางจะออกจากตัวนี้ได้ เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เหมือนกันเกิดมาพอแก่เฒ่าก็ตาย อยู่อย่างนั้นแหละ

ท่านจึงว่าโลกนี้ชื่อว่าโลกเกิดตาย ท่านจึงแสวงหาโลกที่ไม่เกิด ท่านจึงค้นหาอยู่ในตัวท่าน ถ้าหมดความเกิดแล้ว ความตายก็ไม่มี มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างลงอยู่ในนั้นหมด ท่านจึงทำลายใจตัวนั้นแหละ นั้นแหละเป็นพลังเขาสร้างภพ สร้างชาติ ท่านเรียกว่าพลังจิตท่านจึงต้องทำลายตัวนั้น อวิชชามันอยู่ที่นี่แหละ มันเป็นโรงงานใหญ่ พระพุทธเจ้าทำลายเรียบหมด บัดนี้มันสร้างอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ท่านจึงว่า ตัณหาจะมาสร้างร่างกายให้ตถาคตอีกไม่ได้แล้ว เพราะช่อฟ้าเราตถาคตได้ทำลายท่านไปหมดแล้ว บัดนี้จิตของเราตถาคตปราศจากสังขารเข้าสู่พระนิพพานแล้ว บัดนี้เราได้ยินพระพุทธเจ้าประกาศท่านในบารมีเก่าที่เราได้มา ท่านจึงให้เราต่อเติมเพิ่มบารมีของรา ได้เป็นมนุษย์ อย่างเต็มภูมิแล้ว บัดนี้อย่าให้ภพชาติของเราเปลี่ยนแปลงหายไปเป็นภพชาติที่ต่ำทราม ท่านจึงให้สร้างบารมีของเรา ต่อเติมเสริมภพชาติของเรา อย่างเต็มภูมิ จงให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวเสมอ สิ่งที่ไม่ดีท่านจึงไม่ให้เอา เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ทำลายภพชาติเรา ถ้าเราไปหลงไปยึดเป็นชาติที่ต่ำทราม เป็นสัตว์ เป็นหมา เป็นควาย ท่านว่ายากที่จะได้กลับมา เพราะสัตว์เหล่านี้เข้าไม่รู้จักดี ชั่วอะไร เขาจะอยู่อย่างนั้นแหละ เขาไม่รู้เราเขาเกิดมาเพราะอะไร เป็นกรรมของเขา ท่านจึงว่าถ้าทำดี เรียกว่ากุศลกรรม ถ้าทำชั่วเรียกอกุศลกรรม กรรมเรานี้แหละจะพาเราไป

ฉะนั้นท่านจึงให้รักษา กาย วาจา ใจ ของเราไว้ อย่าไปคิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้มา อย่างไปหยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูด มาคิดขึ้น อันนั้นเป็นบาปเป็นกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันอยู่ตรงนี้ ให้เราค้นหาอยู่ในตัวของเรานี่เราจะเห็นหมด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ให้ไปหาที่อื่น ไปดูนั้นดูนี่ ที่นั่นที่นี่ท่านไม่ไป เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ท่านจึงแสดงธรรมให้เห็น เป็นธรรมชาติ ของที่มีอยู่แต่ท่านฝังไว้ลึกลับ เหมือนกับพริก มะเขือ มะละกอนั่นแหละ ลูกของมันผลของมันอยู่ที่ไหน ถึงม้าเราจะไปแซะลำต้นมันไม่เห็น มันนำลูกนำผลมาจากไหน มาให้เราได้อยากได้กิน เราก็เห็นเต็มตา รู้เต็มใจอยู่ มันไม่ได้ไปขอที่อื่น หรือไปแย่งมาจากที่อื่นมาเป็นหนี้เป็นสิน มาเป็นโทษเป็นภัย เขาสร้างตัวของเขาให้สมบูรณ์อยู่อย่างนั้น ธรรมชาติเขาแสดงไว้ให้เรารู้ให้เราเห็นอยู่ เราก็น้อมตัวนั้นมาสู่ตัวของเรา ทำไมเราจะไม่เห็น ต้องเห็น ถ้าเราทำจริง เหมือนพริก มะละกอ เขาแสดงให้เห็นผลเขาอยู่ อันนี้เราทำจริงเราก็จะเห็นผลของเราแน่นอน ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องไปถามใคร เราอย่าไปคิดว่าคุณงามความดี หรืออำนาจวาสนามันอยู่ที่อื่น มันอยู่ในตัวของเรานี่

เมื่อเราทำความดีไว้เพียงพอแล้ว พอจิตของเรามันรู้ทางจะไปเอง พอเราหมดจากภพนี้ ชาตินี้มันไปแล้ว มันไปที่มันสร้างไว้แหละ สร้างดีไว้ก็ไปทางดี ไม่ได้ไปทางชั่ว ท่านเทียบเป็นโรงศีล โรงธรรม อันนี้เข้าที่หนึ่งมันไปช่องนี้ เข้าที่สองมันไปช่องนี้ เข้าที่สามมันไปช่องนี้ เข้าที่สามมันไปเป็นสัตว์ เข้าที่สองไปเป็นมนุษย์ เป็นคนดีบ้างชั่วบ้าง เข้าที่หนึ่งเป็นคนดี ราคาก็ต่างกันตามคุณค่า ไม่มีใครไปแยกเขา เขามาถึงนั้นเขาไปเอง วัฏฏะมันหมุนไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เราภาวนา ให้จิตของเราสงบลง เมื่อจิตของเราสงบมันจะรู้เรื่อง เช่น เสียงนี้ หรือความเกิดขึ้น เป็นความอยากดี ความไม่อยากดี มันเกิดขึ้นจากตัวนี้ ถ้าไม่มีตัวนี้มันจะไม่เกิด เพราะฉะนั้นร่างกายของเราทุกส่วนเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ นี่ให้เราเห็นให้เรารู้ เราอย่างไปยึดว่าเป็นของดี ตัวนี้มันทำลายเรา ปกปิดเราทุกสิ่งทุกอย่างแหละมันไม่ให้เรารู้ อันนั้นไปขนมาให้มัน เราไปขนมาให้มัน แล้วมันก็ไม่รักไม่ชอบกับเรา มันยิ่งหาความเจ็บ ความแก่ ความชรา ความตาย มาใส่เราอยู่อย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าอันนี้แหละเป็นตัวข้าศึก มันทำลายเรา ท่านว่าบัดนี้ให้จิตของเรามันรู้ให้จิตของเรามันปล่อย ไม่มีอะไรจะบอกได้ ถ้าเราไม่ดัดไม่แปลงของมัน มันก็จะเอาเราอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเกิดมาแล้ว ท่านจึงว่าเราเกิดมาเอาของเก่า มาเอาความโลภ มาเอาความหลง มาอยาก มากิน มาเฒ่า มาแก่ มาตาย ทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้นี้มันเป็นของประจำโลก มันมาเป็นเรา เป็นของเราเฉย ๆ นี่ตัวสมมติ กายตัวนี้มันเป็นกายที่สมมติ ท่านเรียกว่า อวิชชาสมมติ กิเลสสมมติ ขันธ์สมมติ นี้ให้เราพิจารณาให้มันรู้เราจึงปล่อยตัวนี้ได้ ถ้าเรายังปล่อยไม่เป็น

บัดนี้ถ้าเราได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ แนะนำสั่งสอน ให้เราทิ้งมันให้หมด เราอย่าไปเชื่อมัน บัดนี้เราก็จะรู้ขึ้นเอง ให้เราปล่อยออกจริง ๆ ถ้าเราศรัทธาให้เราเชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ฟังลึกอยู่ในตัวของเรา เรารู้เราได้ยินเราอย่าไปเชื่อ เราเห็นเราก็อย่าไปเชื่อ ใจของเราเกิดขึ้นมาเราก็อย่าไปเชื่อมัน เพราะตัวนี้มันเป็นตัว นิจจัง เป็นตัวสังขาร มันตายให้เราเห็นอยู่อย่างนั้น เราจะไปเชื่อมันได้ยังไง คนมันดีคนมันชั่วเราก็อย่าไปเชื่อ เขาสมมติ เขาชอบเขาก็สมมติว่าดี เขาไม่ชอบก็สมมติว่าไม่ดี อยู่อย่างนั้นแหละ นั้นมันทำให้เราลุ่มหลงอยู่ เราจึงหลงดีหลงชั่ว ติดดีติดชั่วอยู่ ถ้าดีมีอยู่ที่ไหนชั่วก็มีอยู่ที่นั้นแหละ บัดนี้เกิดมีอยู่ที่ไหน ตายก็มีอยู่ที่นั่นแหละ บัดนี้มันเกิดมันดับ มันเกิดมันดับ เพราะฉะนั้น ท่านจึงว่าทั้งหมดในตัวของเรามันเป็นสมุทัย เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ บัดนี้มันเกิดความแก่ขึ้นมามันก็เกิดความทุกข์ เมื่อตามันเห็น มันก็เกิดความอยากขึ้นมา มันก็เกิดความทุกข์ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายสัมผัสก็เช่นเดียวกัน ตัวนี้เป็นตัวของสมุทัย บัดนี้ท่านจึงให้เดินจิตของเรา เดินสติเดินปัญญาของเรา ตัวนี้เพราะไม่มีสิ่งไหนดี มีแต่ของตายทั้งหมด เมื่อตายแล้วมันก็เน่ามันก็เหมือนอยู่อย่างนั้นแหละ มันจะดีได้อย่างไร เราจะว่าเป็นของดีได้อย่างไร

บัดนี้เราถามตัวของเราเองว่าเราชอบของเน่าของเหม็นไหม เราก็ไม่ชอบ ถ้าเราชอบของเน่าของเหม็น เราเป็นอะไรเราจึงชอบสิ่งเหล่านั้น เราเป็นตัวบุ้ง เป็นตัวหนอนหรือ เราเห็นแต่ตัวหนอน เห็นแต่ตัวบุ้ง มันขอบของเน่าของเหม็น ถ้าเราเป็นผู้ที่ดีจริง ๆ เราอย่ามายึดและอย่ามาถือ อันนี้คือความคิดของเรา เมื่อจิตของเรามันได้รับธรรมคำสั่งสอนแล้ว มันก็ค่อย ๆ ถอยออกมันไม่ยึด ถ้าไม่เชื่อ พอเราสิ้นลมหายใจ หรือตายไปไม่ถึง 10 นาที ลองสูดกลิ่นดู คนตาย หรือ สัตว์ ตายก็เหมือนกัน มันก็จะเกิดการพองขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า เราไม่ใช่ตัวบุ้ง ไม่ใช่ ตัวหนอน เราจะไปชอบของเน่าของตายอย่างนั้นหรือ นี่ท่านสอน บัดนี้ให้เรารู้ตัวอยู่ทุกเวลา เว้นไว้แต่เรานอนหลับ ให้เรารู้สติอยู่ตลอดเวลา พอตื่นขึ้นมาเราก็จะเห็น

 

ธรรมะจากหลวงปู่สอ
– พระธรรมเทศนา 17 พฤศจิกายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] – เทศน์ เมื่อ 5-12 กันยายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] – พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] – ธรรมะจากหลวงปู่สอ [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] ดูทั้งหมด

คำอธิษฐานบูชา

คำอธิษฐานบูชา

คำอธิษฐานบูชาพระพุทธสิริสัตตราช
[6 มิถุนายน 2552 10:54 น.]จำนวนผู้เข้าชม 32582 คน

คำอธิษฐานบูชาพระพุทธสิริสัตตราช
(หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์)

(นะโม 3 จบ)

ยัมปะเนตัง พุทธะสิริสัตตะราชาติ สะวะหะเยนะ ปัญญาตัง,
ตะเมวะ อารัทธวิริเยนะ พันธุลัตเถเรนะ อาภุชังคะนิมิตเตนะ ลัทธัง,
มะยัมปะนะ อัตตะโน อัตตะโน วิภูติง อาสิงสะมานา สักกัจจัง อิมะเมวะ

พุทธะสิริสัตตะราชะ ปฏิมัง อภิปูเชมะ,
อิมัสสานุภาเวนะ มหานิสังโส, มหาโภโค,
มหาลาโภ นิรันตะระเมวะ อัมหากัง โหตุ

<< คำแปล >>

ก็พระพุทธรูปนี้ใด, ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ทราบทั่วกันโดยชื่อว่า พระพุทธสิริสัตตะราช
พระพุทธรูปนั้นแล, อันพระเถระผู้มีนามว่า
พันธุละ ผู้ปรารภความเพียร
ได้มาแล้ว โดยนิมิตซึ่งเกิดขึ้นจากการนั่งสมาธิ
ก็ข้าพเจ้าทั้งหลาย, หวังความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนฯ
จึงขอบูชาเป็นพิเศษ ซึ่งพระพุทธปฏิมานามว่า
พุทธสิริสัตตราช นี้แล โดยความเคารพ,

ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธสิริสัตตราชนี้,
ขออานิสงค์ใหญ่โภคะเป็นอันมาก ลาภมากมูล,
จึงมีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ตลอดนิจนิรันดร์กาลนั่นเทอญฯ

ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์
– หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์จริง [6 มิถุนายน 2552 10:54 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 3 [6 มิถุนายน 2552 10:54 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 2 [6 มิถุนายน 2552 10:54 น.] – คำอธิษฐานบูชาพระพุทธสิริสัตตราช [6 มิถุนายน 2552 10:54 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์1 [6 มิถุนายน 2552 10:54 น.] ดูทั้งหมด

ทำไมชาวพุทธจึงสวดมนต์?

เมื่อเราได้ยินเกี่ยวกับคำว่า ‘อธิษฐาน’ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงก็คือการสนทนากับสิ่งมีชีวิตจากพระเจ้าซึ่งรวมถึงการสรรเสริญการสารภาพการขอบคุณและการร้องขอ แต่การอธิษฐานในพุทธศาสนานั้นแตกต่างไปจากนั้นมาก ให้เราเจาะลึกลงไปว่าอะไรที่ทำให้คำอธิษฐานนี้ไม่เหมือนใคร

 

พุทธศาสนาก่อตั้งโดย Siddhartha Gautama ในช่วงศตวรรษที่ห้า เชื่อกันว่าเขาได้พบต้นโพธิ์ซึ่งบ่งบอกถึงสถานะของการตรัสรู้ ตลอดชีวิตของเขาเขามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมแนวความคิดเรื่อง ‘ทางสายกลาง’ ใช้ชีวิตโดยปราศจากการตามใจทางสังคมและการกีดกันตัวเอง 

 

หลังจากที่เขาจากไปสาวกของเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวซึ่งมีหลักการที่มีรากฐานมาจากคำสอนของกัวตามะซึ่งปัจจุบันพวกเขาเรียกว่าพระพุทธเจ้าด้วยเหตุนี้การกำเนิดของศาสนาพุทธในฐานะศาสนา มันแพร่กระจายไปนอกประเทศอินเดียและตอนนี้พัฒนาไปในรูปแบบที่แตกต่างกันซึ่งแต่ละคนมีการรับรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า

สิ่งหนึ่งที่พวกเขาแตกต่างจากกันคือพิธีกรรมการอธิษฐานของพวกเขา ชาวพุทธบางนิกายสวดมนต์ในขณะที่ขยับริมฝีปากอย่างเงียบ ๆ บางคนสวดมนต์โดยใช้ลูกปัดเพื่อติดตามและมีเพียงไม่กี่คนที่ถือล้อสวดมนต์เป็นแนวทาง อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ของการอธิษฐานของพวกเขาแตกต่างจากที่คริสเตียนเคยเป็นมา 

จุดประสงค์ของการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา

เมื่อเราอธิษฐานเราเลือกที่จะอธิษฐานเพื่อสิ่งที่เราปรารถนา อย่างไรก็ตามการสวดมนต์ของศาสนาพุทธมีความหมายในทางตรงกันข้ามเนื่องจากพวกเขาอธิษฐานเพื่อละทิ้งทุกสิ่ง 

 

อย่างไรก็ตามพวกเขายังต้องการการสวดอ้อนวอน นี่คือสาเหตุบางประการ: การ

เชื่อมต่อกับความเมตตา

กับความสับสนวุ่นวายและการทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะละเลยความสงสารและความเป็นเจ้าของ นั่นคือเหตุผลที่ชาวพุทธวางฝ่ามือพร้อมกับความปรารถนาที่จะรู้สึกถึงสัมผัสที่อ่อนโยนของพระพุทธรูปโดยเชื่อว่ามือที่อ่อนโยนของเขากำลังลูบไล้และนำมารวมกัน 

 

ด้วยเหตุนี้จึงมีความตระหนักว่าการบรรลุสุขภาพที่ดีความมั่งคั่งและปัญญาจึงกลายเป็นเรื่องรองเพราะทุกสิ่งที่สามารถพอเพียงได้ด้วยตัวเองสามารถที่จะพึงพอใจได้ด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน และสามารถให้ได้เมื่อกางฝ่ามือออก

การทำความเข้าใจตนเอง

ในการปฏิบัติแบบเซนการสวดมนต์เป็นเหมือนกิจวัตรการเข้าฌานที่ช่วยให้การค้นพบและประเมินตนเองเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ ไม่เหมือนกับการสวดมนต์เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุการสวดมนต์ในพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้จิตใจและความคิดหันไปสู่ความเมตตา 

 

การสวดอ้อนวอนในพระพุทธศาสนาเป็นการแสดงความปรารถนาที่จะแผ่เมตตาและความรักไปยังผู้อื่น เป็นการแยกตัวเองออกจากความแตกต่างไปสู่ความเป็นเพื่อน

การค้นพบความตื่นตัว

การลบความคิดที่ว่าโลกหมุนรอบตัวเองเท่านั้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การสวดมนต์ของชาวพุทธ เป้าหมายคือไม่ จำกัด เฉพาะความชอบส่วนบุคคล แต่ต้องดูสถานการณ์ของคนอื่นด้วย 

 

การสวดอ้อนวอนขอพระพุทธศาสนาเป็นการแยกตัวเองออกจากความชอบของอัตตาต่อความกลัวและความอ่อนน้อมถ่อมตน การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตสัมผัสตัวเองและรู้สึกถึงความปรารถนาที่จะรักษาความเมตตาและความรักไว้ตลอดเวลา

 

ความเป็นมา

ความเป็นมา

ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์1
[6 มิถุนายน 2552 10:39 น.]จำนวนผู้เข้าชม 29471 คน

พระพุทธสิริสัตตราช(หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) องค์จริงนั้น เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกหล่อสัมฤทธิ์โบราณ ตามการสันนิษฐานของกรมศิลปากรมีอายุประมาณ 800 ปีเศษ มีพุทธลักษณะคล้ายศิลปะเชียงแสน หรือเวียงจันทร์ ขนาด ฐานกว้างประมาณ 10 นิ้ว สูงประมาณ 15 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม พุทธลักษณะพิเศษ คือ เป็นพระพุทธรูปที่มี งูใหญ่ 7 ตัว 7 หัว แผ่คลุมองค์พระ ซึ่งไม่เหมือนกับพระพุทธรูปปางนาคปรกโดยทั่วไปที่มีพญานาค 1 ตัว 7 หัวบ้าง 5 หัวบ้าง พระพุทธรูปลักษณะนี้มีอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งอยู่ในเจดีย์นครปฐม อีกองค์หนึ่งอยู่กับ พระครูภาวนากิจโกศล (หลวงปู่สอ พันธุโล) วัดป่าบ้านหนองแสง ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร

ขณะที่หลวงปู่สอ พันธุโล จำพรรษา และฝึกสมาธิอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ได้นิมิตเห็นงูใหญ่สีทองเลื้อยเข้ามาในกุฏิ แล้วดันตัวท่านลอยขึ้นไป ขดลำตัวเป็นวงกลมซึ่งเป็นนิมิตเริ่มต้นที่จะได้มาซึ่งพระพุทธสิริสัตตราช (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) องค์จริงในช่วงพรรษาที่ 2 ต่อมาในพรรษาที่ 6 ขณะทำสมาธิได้ยินเสียงปรากฎในตัวท่านว่า สิ่งที่ปรากฎกับในพรรษาที่ 2 นั้นจะเป็นเครื่องหมายของท่าน ในพรรษาที่ 8 จะตกทอดลงมาจากอากาศ หรือบางทีอาจจะมีคนเขาเก็บไว้แล้วนำมาถวายในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9

พอล่วงเข้าพรรษาที่ 8 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ท่านกำลังนึกถึงนิมิตที่เกิดขึ้นกับท่าน ในช่วงพรรษาที่ 2 และ พรรษาที่ 6 อยู่ว่าอะไรหนอคือสิ่งที่เราจะได้รับ ขณะนั้นท่านได้เห็นคนแต่งชุดเขียว มีผ้าเคลียบ่าสีเขียว ใส่กำไลแขน ในมือถือพิณสามสายมาด้วย สงสัยว่าจะเป็นพระจันทร์ และได้ยินเสียง พูดเบา ๆ ว่า กำลังมานะ กำลังมา…ไม่นานก็เห็นรถบรรทุกวิ่งเข้ามาจอดในบริเวณวัดมีโยมผู้ชาย ถือห่อผ้าขาวและโยมผู้หญิงถือขันดอกไม้ตรงมาที่กุฏิหลวงปู่ และได้ถวายห่อผ้าขาวแก่หลวงปู่ สิ่งที่ปรากฎในนิมิตภาพที่ปรากฎต่อหน้าหลวงปู่ คือ พระพุทธรูปโสภณปางนาคปรกมีลักษณะแปลกกว่าที่เคยเห็น คือ มีนาค 7 ตัว 7 หัว ขนาดของพระพุทธรูป หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว สูงประมาณ 15 นิ้ว ผิวออกคล้ำเป็นมัน ซึ่งโยมผู้ชายได้เล่าให้ฟังว่า พระพุทธรูปองค์นี้ไม่ทราบว่ามาจากไหน เป็นของโยมพ่อและโยมพี่ชาย จนกระทั่งตกมาถึงตนซึ่งหลังแต่งงานแล้ว ภรรยาของตน มักได้ยินว่าบ่อย ๆ ว่า พระพุทธรูปองค์นี้มิใช่ของเราให้ไปถวายพระอาจารย์วัดป่า พระพุทธสิริสัตตราช จึงตกเป็นสมบัติของหลวงปู่สอ สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์
– หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์จริง [6 มิถุนายน 2552 10:39 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 3 [6 มิถุนายน 2552 10:39 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 2 [6 มิถุนายน 2552 10:39 น.] – คำอธิษฐานบูชาพระพุทธสิริสัตตราช [6 มิถุนายน 2552 10:39 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์1 [6 มิถุนายน 2552 10:39 น.] ดูทั้งหมด

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์จริง

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์จริง

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์จริง
[15 มิถุนายน 2552 20:37 น.]จำนวนผู้เข้าชม 34182 คน

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์จริง

พระพุทธสิริสัตตราช (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) องค์จริง
ถ่าย ณ บ้านเรือนไทย ลาดพร้าว 57/1 กทม.
5 สิงหาคม 2550

ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์
– หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์จริง [15 มิถุนายน 2552 20:37 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 3 [15 มิถุนายน 2552 20:37 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 2 [15 มิถุนายน 2552 20:37 น.] – คำอธิษฐานบูชาพระพุทธสิริสัตตราช [15 มิถุนายน 2552 20:37 น.] – ความเป็นมาของหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์1 [15 มิถุนายน 2552 20:37 น.] ดูทั้งหมด

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ

ณ วัดป่าบ้านหนองแสง
[22 มิถุนายน 2552 21:07 น.]จำนวนผู้เข้าชม 7542 คน
หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ วัดป่าบ้านหนองแสง

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ
– ณ บจก. ตรีทัช มาร์เก็ตติ้ง [22 มิถุนายน 2552 21:07 น.] – ณ วัดป่าโนนค้อ [22 มิถุนายน 2552 21:07 น.] – ณ วัดป่าบ้านหนองแสง [22 มิถุนายน 2552 21:07 น.] – ณ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก [22 มิถุนายน 2552 21:07 น.] – หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ บ้านเรือนไทย [22 มิถุนายน 2552 21:07 น.] – เขื่อนสิริกิตต์ [22 มิถุนายน 2552 21:07 น.] ดูทั้งหมด

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ

ณ วัดป่าโนนค้อ
[26 มิถุนายน 2552 21:11 น.]จำนวนผู้เข้าชม 14013 คน

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ วัดป่าโนนค้อ
อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
พระอาจารย์ผดุง เจ้าอาวาสวัดป่าโนนค้อ

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ
– ณ บจก. ตรีทัช มาร์เก็ตติ้ง [26 มิถุนายน 2552 21:11 น.] – ณ วัดป่าโนนค้อ [26 มิถุนายน 2552 21:11 น.] – ณ วัดป่าบ้านหนองแสง [26 มิถุนายน 2552 21:11 น.] – ณ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก [26 มิถุนายน 2552 21:11 น.] – หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ บ้านเรือนไทย [26 มิถุนายน 2552 21:11 น.] – เขื่อนสิริกิตต์ [26 มิถุนายน 2552 21:11 น.] ดูทั้งหมด

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ

ณ บจก. ตรีทัช มาร์เก็ตติ้ง
[28 กรกฎาคม 2552 12:43 น.]จำนวนผู้เข้าชม 7655 คน

หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ สถานที่ต่างๆ
– ณ บจก. ตรีทัช มาร์เก็ตติ้ง [28 กรกฎาคม 2552 12:43 น.] – ณ วัดป่าโนนค้อ [28 กรกฎาคม 2552 12:43 น.] – ณ วัดป่าบ้านหนองแสง [28 กรกฎาคม 2552 12:43 น.] – ณ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก [28 กรกฎาคม 2552 12:43 น.] – หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ณ บ้านเรือนไทย [28 กรกฎาคม 2552 12:43 น.] – เขื่อนสิริกิตต์ [28 กรกฎาคม 2552 12:43 น.] ดูทั้งหมด

พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546

พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546

พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่สอ พันธุโล
วันที่ 18 พฤษภาคม 2546

พระพุทธเจ้าท่านว่าสติปัญญาเป็นของสำคัญ ถ้าคนขาดสติคนไม่สมบูรณ์ เขาเรียกว่าคนบอ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้ฝึกสติ เดินสติปัฎฐาน เดินอยู่อย่างนั้นในตัวของเราอันนี้ ร่างกายของเราเกิดขึ้นมาจากอะไร คือสติปัญญาของเรามันจะรู้ ถ้าเราไม่มีสติไม่รู้เรื่องอาการของเรา มันคิดนั่น คิดนี่ คิดขึ้นไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นให้เรามีสติสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวของเราเอง คือความแก่ ความชราความล้ำค่าอะไรมันอยู่นี้หมด เราจะดีก็สติของเราจะชี้ช่องทาง เพราะสิ่งเหล่านี้ มีสติปัญญาเท่านั้นจะบังคับได้ ถ้าไม่มีสติปัญญา บังคับมันไม่ได้ ตัวกิเลสตัวนี้มันประคับประคองเรามาสักกี่ภพกี่ชาตินานมาแล้ว บัดนี้มักก็มาหลอกลวงเราอยู่อย่างนั้น บัดนี้เกิดขึ้นมาอีก มาตายอีก มาหาอยู่หากินเหมือนเก่าอีกอยู่อย่างนั้นแหละ ตัวนี้ถ้าไม่มีสติปัญญาถอนตัวของเราออกจากตัวนี้แล้วมันติดอยู่ มันข้องอยู่นี้ คาอยู่ที่นี่ คาอยู่กับอะไร ความรัก ความชอบนี่ ตัวนี้มันเป็นตัวกามท่านเรียกว่า กามตัณหา คือความรัก เรารักกายของเราถ้ามันเจ็บมาเราก็ไม่อยากให้มันเจ็บเราหวงไว้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้มีสติไม่ให้หวง มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราไม่ใช่ตัวของเรา ไปหวงเอาไว้ทำไม ถ้าเป็นของเราและตัวของเราทำไมให้มันแก่ ให้มันเจ็บ ทำไมให้มันตาย ทำไมไม่เอามันไว้ได้ ตัวนี้มันไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของสติปัญญา

เพราะฉะนั้นเมื่อสติปัญญาของเรารู้เท่าทันมันแล้ว สติปัญญาตัวนี้มันปล่อยออกเราก็เห็นช่องทาง คือจิตของเราใจของเรามันลงหรือสงบไปนิดเดียวเท่านั้นแหละ มันจะไปถึงพื้นฐานที่สว่างของใจ บัดนี้ ใจของเราก็รู้ขึ้น ๆ อันนี้มันไปถึงแต่ของปลอม ๆ มากั้นเราไว้ไม่ให้ลงถึงฐานคือจิตใจอันที่แท้จริง และเมื่อจิตใจแน่ที่แท้จริงมันลงถึงฐาน มันก็สว่างจ้า ตัวของเราไม่เคยประคับประคองมา เราจะสะดุ้งพอสะดุ้งมันก็หายไป บัดนี้ตัวนี้มันจะเกิดขึ้นแบบนี้มาอีก ก็เกิดสบาย ในตัวของเรา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าถ้าจิตเราลงหรือสงบครั้งนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะสร้างกองการกุศลร้อยครั้งพันครั้ง ไม่เท่าจิตเราลงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันสบายมากไม่มีอะไรไปเกี่ยวข้องกับจิตใจ ๆ ของเราสบายโรคภัยไข้เจ็บไม่มี บัดนี้จิตของเราลงถึงฐานของใจอันแท้จริง

บัดนี้ให้เราภาวนาดูอยู่ในตัวของเรานี้เราจะรู้เรื่องอาการของเรา ว่าติดอยู่ที่ตรงไหนเราก็พยายามแก้ที่ตรงนั้น เมื่อเราแก้ไขตรงนั้นแล้ว จิตของเรามันเดินไปเอง สติปัญญาตัวนี้จะชี้ช่องทาง บัดนี้เราก็จะมองเห็น เราทำดีมากี่ภพกี่ชาติ เราจะเห็นผลของการกระทำของเรามา มันแตกต่าง ไม่ใช่ว่าตาเนื้อของเรานี้มันหลอกลวง อันตัวจิตที่แท้จริงมันไม่หลอกมันรู้ บัดนี้เราจะไปเกิดภพหน้าชาติหน้าที่เราพึงปรารถนายังไม่ถึงจุดหมายปลายทางของเรา แล้วมันจะไปเกิดที่ไหนมันจะบอก บัดนี้เราเห็นที่ที่เราจะไป บัดนี้ทรัพย์สมบัติที่เราคุ้มครองมา บัดนี้เราจะเห็นอยู่ข้างหน้าอีก เราทำบุญทำทานมามากน้อยมากสักกี่ภพกี่ชาติก็ตาม มันก็เป็นของเราไม่สูญหาย เหมือนกับเราเอาเงินไปฝากธนาคารไว้คนอื่นจะไปเอาไม่ได้ อันนี้เป็นของแท้จริง ๆ บัดนี้คุณงามความดีที่ได้สร้างมา เราก็จะรู้แจ้งเห็นหมดจิตใจของเรามันขยัน มันไม่กล้าทำชั่วพยายามสร้างความดีใส่ตัวของเรา

เพราะฉะนั้นเราอย่าไปดูที่อื่น ดูที่ตัวของเรา ขัดข้องที่ตรงไหนต้องแก้ความขัดข้องที่นั่น เมื่อเราแก้มันแล้วมันก็จะไปของมันเอง เราไม่ได้บังคับมีแต่สติปัญญาจะมองถามอยู่เราจะเห็นดีเห็นชั่วของตัวเรา พอเราชั่วมา เราได้ทำอย่างนั้น ๆ จิตของเรามันรู้มันจะหยุดในการทำชั่ว คิดนิดเดียวก็เป็นความชั่ว มันเป็นตัวกรรมตัวเวรบัดนี้กายของเราก็ดี ถ้าเราไปทำผิดนิดเดียวก็เป็นเวรเป็นกรรม ใจของเราคิดผิดขึ้นมาก็เป็นเวร วาจาของเราที่พูดออกไปไม่ถูกตามหลักธรรมคือความคิดความชอบนั่นก็ผิด มีแต่กรรมแต่เวรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีสติคุ้มครองรักษาตัว คิดก็ดี วาจาก็ดี กายของเราก็ดี ให้เรามีสติคุ้มครองรักษา เมื่อเราจะทำการอย่างนั้น ๆ ก็ต้องคิดเสียก่อนจะทำดี หรือไม่ควรทำ ถ้าควรทำเราจึง ส่งสติ ส่งปัญญาของเราตามดูนึกให้มีสติ ท่านว่าการฝึกสติเป็นสิ่งสำคัญมาก หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านมีแต่ฝึกสติ

เมื่อสติของเราดีแล้ว สติของเรามันแก่กล้าขึ้น ปัญญามันก็รวดเร็ว กิเลศมันจะมาหลอกลวงเรามันก็จะรู้ มันก็บังคับไว้ มันไม่เอา มันตัดออก ๆ ความรักก็ดี ความชอบก็ดี ดีใจเสียใจ มันเป็นเรื่องของกิเลสมันก็ตัดออกหมด ไม่มีอยู่ในตัวของเรา บัดนี้มีแต่ธรรมคือความดีเข้าสู่ใจของเรา เพราะฉะนั้นท่านจึงเปรียบเทียบใจเหมือนกับน้ำ ใจของท่านมาเทียบกับตัวนี้ ใจของท่านความดีมันเต็มอยู่แล้ว มันเต็มเหมือนกับตัวนี้แล้ว จะเอาอะไรมาเติมมันอีก มันเต็มแล้วมันพอแล้ว ความดีของเรามันเต็มอยู่แล้วจะเอาความดีหรือความชั่วมาเพิ่มอีกก็ไม่ได้ มีแต่เหลือออก ๆ เพราะฉะนั้นมันเหลือออกอย่างไรความคิดขึ้นมาซักกี่ภพกี่ชาติไม่มีได้อะไร มันเต็มหัวใจของเราแล้ว มันอิ่มแล้ว มันพอแล้ว ความตายของเราตายมาสักกี่ภพกี่ชาติ มันอิ่มแล้ว มันพอแล้วมันไม่เอา

บัดนี้มันจะมามองดูตัวของเรา ดูความตาย บัดนี้มันไม่มีความรักกับตัวนี้ ไม่มีความชอบกับตัวนี้ มันอยู่เฉย ๆ บัดนี้มันอิ่ม มันพอแล้ว เกิดมาตายเล่นเฉย ๆ มันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าตัวของเราจะดีตัวของเราจะเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ นี่มันเป็นเรื่องของกิเลศ บัดนี้จิตของเราไม่ได้คิดขึ้นอย่างนั้น ถ้าเราเข้าถึงจิตถึงใจของเราแล้ว มันพอหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ใจของเราก็สบาย ถึงแม้มันไม่ได้กินมันก็อิ่ม มันก็พอแล้ว มันพอแล้ว กินไปเพื่อประโยชน์อะไร คือความอยากความกินมันเป็นตัณหา เมื่อมันรู้แล้วมันตัดออก เอาออกหมดมันไม่เอาทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดออกหมด ถึงแม้เราจะเอานั่นเอานี่มามันก็ไม่เอา มันอิ่มแล้วมันพอแล้ว มันเต็มอยู่ในนี้หมด บัดนี้ทรัพย์สมบัติมันเต็มอยู่นี่หมด มันพอแล้ว อันนี้มันหมดความอยาก หมดความดีใจ หมดความเสียใจ เหลือเพียงแต่ของดี ท่านจึงเปรียบเทียบฐานะที่ใจของเรานี้ ถ้าเอาน้ำไปตั้งไว้ไปใส่ไว้ มีแต่ความชุ่มชื้น ยิ้มแย้มแจ่มใสเย็นจิ้วอยู่อย่างนั้น บัดนี้ถ้าเอาความโลภ ความโกรธ ไปตั้งไว้มีแต่ความอยาก มันแตก- ต่างกันอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้อบรมจิตของเราให้มีสติ ให้มีปัญญาคุ้มครองใจของเรา

ใจของเราเป็นบ่อทรัพย์ บ่อสมบัติทุกสิ่งทุกอย่าง บัดนี้เราเกิดมาเราก็ดี เพราะความดีของเราได้สร้างไว้เพียงพอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง บัดนี้มันจะออกมาแสดง กิริยาของเราสวย วาจาของเราก็ไพเราะ บัดนี้จิตใจดูข้างในความโลภก็ไม่มี ความโกรธก็ไม่มี มีแต่ความดีเข้าถึงใจอยู่อย่างนั้น ท่านจึงว่า เมื่อใครตกในขั้นนี้แล้ว ท่านว่าถึงธรรมขั้นนี้แล้ว ถ้าใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นพระตถาคต พระตถาคตท่านอยู่อย่างนั้นแหละ บัดนี้ เมื่อจิตของเรา ใจของเรา ไปถึงท่านแล้วเราสบาย เราเกิดมาหาความสุขใส่ตัวของเรา อันนี้เป็นสุขอยู่อย่างนั้นเรียกว่า บรมสุข ฉะนั้นจะไปหาสิ่งอื่นไม่มีท่านว่าถึงแม้เราจะจะมีทรัพย์สมบัติกองเท่าภูเขาเลากาก็ไม่มีความสุขอะไรแก่ใจ อันนั้นมันเป็นเรื่องความสุขของกาย ของจิตใจ เพื่อแสวงหาความสุขใส่ตัวเท่านั้น ไม่มีอะไร ความสุขตัวนี้ เย็นจิ้วเลย ไม่มีร้อน ถึงไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ มันก็เย็นอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะด่าว่ากล่าวเราอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่มีโกรธ ไม่หงุดหงิด อย่างนั้นแหละ ดังนั้นท่านว่ามีสติมีปัญญาคุ้มครองใจของเราแล้ว อันนี้หาความสิ้นสุดทุกสิ่งทุกอย่างครอบงำไม่ให้ความชั่วเข้าไปทำลายจิตใจ ไม่ให้เกิดความเศร้าหมองไปทำลายจิตใจ ใจของเราสว่าง เหมือนเราเปิดไฟ แต่เราต้องทำให้ได้ และก็แน่นอนมีอยู่ทุกคน ๆ นั่นแหละ

บัดนี้ถามตัวของเราว่าเราเกิดมาหาอะไร เราอย่าเป็นคนท้อแท้อ่อนแอต้องเป็นผู้เฉลียวฉลาดรอบคอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภายนอกและภายใน ภายในเมื่อใจของเรามันจะคิดอะไรจะได้รู้ หากภายนอกมันจะมาอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เรารู้ นี่สติปัญญาของเรามันจะตรวจ คล้าย ๆ กับว่าเรามีผู้รักษาตัวของเรา บัดนี้เมื่อเรารู้แล้ว ท่านจึงว่าจิตอันนั้นแหละตัวพุทธะรักษา ธัมมะรักษา สังฆะรักษา ท่านว่าอยู่ที่ไหนไปที่ไหน ไม่กลัวใด ๆ ใจมันกล้า มันมีสิ่งรักษาเราอยู่ เพราะฉะนั้นท่านครูบา – อาจารย์ ท่านจึง เข้าดงเข้าป่า ไม่กลัวช้างกลัวเสือ ไม่กลัวผีสางใด ๆ เลย ไม่มีกลัว มีสิ่งรักษาเราอยู่ แต่ขอให้เราทำจริง ๆ ถ้าเราทำไม่จริงไม่มีใครรักษา เสือกินตายหมด อันนี้ครูบาอาจารย์เข้าดงเข้าป่า ถึงแม้มันจะมาหาครูบาอาจารย์อยู่ ตามประวัติของท่านแล้วมันไม่ได้มาทำร้ายท่าน มันรู้ว่าเรามาทำดี เขาก็เป็นผู้รักษาความดีเหมือนกันกับเรา เขาจึงเรียกว่าสัตว์คำว่า สัจ คือ สัจจะ เป็นของจริง บัดนี้ เขาก็มีศีล มีสัจเหมือนกันกับเราเพราะฉะนั้นพวกสัตว์มันอยู่ตามบริเวณวัดนี้ เขารู้จัก ตัวอย่างพวกเราใส่เครื่องขาว ใส่ผ้าสีเหลือง ๆ เขาไม่กลัวเรานะ กระต่ายเหมือนกัน มันมาเล่นอยู่กับเราอยู่ ถ้ามันเห็นญาติโยมมันก็จะกลัว มันวิ่งเข้าป่าเลย มันต่างกันอย่างนี้แหละ สังเกตพวกสัตว์เขาก็รู้ว่าพวกนี้ไม่ใช่พวกจะมาทำร้ายกัน เขาไม่กลัวนะสังเกตดูตัวขาว ๆ อาตมาเอาอาหารให้มันกินมันยิ้มกับอาตมา อันนี้ถ้าญาติโยมให้มัน มันไม่อยู่หรอกมันเข้าป่าไปเลยล่ะ อันนี้ศรัทธาญาติโยม

พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ถ้าไม่มีสติก็ไม่รู้ธรรม เพราะธรรมมันอยู่ที่ลึกลับ ที่เราไม่รู้ถึงจิตของเรานั้น เพราะมีอวิชชาอยู่ เราไม่รู้ ตัวนี้แหละมันพาจิตของเราไม่เก็บเรื่องนั้น ไปเก็บเรื่องนี้มาปรุงแต่งขึ้น เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีสติ ฝึกหัดสติให้มันรู้เท่าทันกลมายาของจิต คือจิตอวิชชา ถ้าตาของเราไม่เพียงพอ มันก็ไม่รู้เขา อันนี้ตาเราเห็นก็ว่าเราเห็นอยู่ แต่ที่มันไปเก็บเอาเรื่องนี้ เข้ามาไว้นี้มันมาปรุงแต่งขึ้น เรื่องอาการของจิตตัวนี้มันไม่อยู่เฉย ๆ อันนี้มันจะเป็นเหมือนอย่างกับว่า คนเรามันไปเก็บนั่นเก็บนี่ เอานั้นเอานี้มาปรุงมาแต่ง คือตัวนี้มันเป็นตัววัดได้มันหมุนไม่ให้เราโลภ ไม่ให้เราหลง เรานั่งให้จิตของเราสงบ ให้จิตของเราถึงฐานของใจจริง ๆ บัดนี้ถ้าใจของเรามันสว่างขึ้น เราจึงจะเห็นเราจึงจะรู้ตัวนี้ ถ้าหากจิตของเราลงไม่ถึงพื้นฐานของใจ อันนี้มันไม่เห็น มันอยู่ลึกตัวนี้ เวลามันออกมานั้นเราก็ไม่รู้ เมื่อเวลามันเข้าไปเราก็ไม่รู้ มันละเอียดมาก เผลอแผลบเดียวเท่านั้นมันออกไปแล้ว เมื่อเวลามันไปเก็บเอานั่นเก็บเอานี่เข้ามา เราไม่ได้ตรวจดู บัดนี้มันเอาเขามา มาปรุงแต่งความปรุงแต่งมันเป็นความหลอก หลอกลวงพวกเราให้หลงไป เมื่อเรายิ่งลุ่มหลงไปนั้นแหละตัวอวิชชา คือความหลงตัวนั้นแหละ มันเป็นยาพิษเข้าเสกสรรปั้นยอจิตของเราไม่ให้เรารู้ จิตของเราไม่รู้ พอไปยึดตัวนั้น เกิดความชอบ เกิดความอยาก บัดนี้เรามาติดอยู่อย่างนี้ เราไม่รู้เรื่องอาการของจิต

เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เจริญภาวนา เจริญสติปัฎฐาน ให้มาก เมื่อเวลามันเกิดขึ้นมาเราก็จะรู้เท่าตามทัน พอเกิดความรัก ความชอบ เราก็ให้มีสติบังคับใจข้างใจ เราอย่างไปบังคับข้างนอก ตัวนี้แหละเป็นตัวการ มันอยู่ในตัวของเรานี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่า ให้มีสติ ให้มีปัญญา ให้มีศรัทธา ให้มีความเพียร พระพุทธเจ้าท่านเดินอยู่ในธรรมบทนี้ ศรัทธาของเราไม่ใช่ว่าจะไม่มี ให้ฝังลงในใจของเราจริง ๆ ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้มีศรัทธา ท่านสอนอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น เมื่อเรารู้แล้วเราก็ปล่อยออกไป ปล่อยออกไป จิตของเรา ใจของเรา มันก็ค่อย ๆ ก้าวลงไป ก้าวลงไป ถึงพื้นฐานของใจจริง ๆ พื้นฐานของใจมันสว่างอยู่อย่างนั้นอันนี้มัน คล้าย ๆ กับว่าพระอาทิตย์มีเมฆไปปกปิดกำบังเรา เราก็มองหาพระอาทิตย์ไม่เห็น เมื่อเมฆขยายออกจากพระอาทิตย์พระจันทร์แล้ว เราก็จะมองเห็นพระอาทิตย์ นี้ก็เหมือนกัน เมื่ออวิชชาตัวนี้มันครอบคลุมอยู่เมื่อมันขยายออกไปจากดวงใจของเราแล้ว ใจของเราก็จะพุ่งแสงสว่างขึ้นมา แล้วก็มองเห็นดีเห็นชั่วในสิ่งนั้น หากเขาจะปรุงแต่งให้เรารู้ เขาจะทำให้เรารู้ เขาจะสอนเรา

พระพุทธเจ้าท่านจึงว่าใจนี้เราเอาอยู่ ถ้าเราปฏิบัติถูกทางใจของเรา จะเป็นของประเสริฐ ให้เกิดขึ้นมาให้มีความภูมิใจ ไม่มีอะไรจะเสมอเหมือนดวงใจนี้ ศรัทธาของเราตัวนี้ให้เชื่อจริง ๆ ให้มันเกิดขึ้น การกระทำของเรา กิริยามารยาทมันจะค่อย ๆ อ่อนตัวลงให้เราสังเกตดู เอาสติของเราตามดู ปัญญาของเราก็ตามกันไปด้วย ท่านจึงว่าสติของเราเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วสติปัญญา ตัวนี้ไม่มีอะไรเสมอเหมือน มันเกิดเป็นมหาสติ ปัญญาตัวนี้เป็นมหาปัญญา อันนี้แหลมคมรู้แจ้งแทงตลอดจริง ๆ ไม่มีอะไรเหมือน บัดนี้ตัวของเราก็ไม่ได้หลง ไม่ได้หลงตามความเสกสรรปั้นยอของกิเลสต่อไป สติตัวนี้พอมันคิดอะไรขึ้นมาทางที่ดีมันก็รู้ มันก็ปล่อยให้คิดไป ถ้ามันคิดขึ้นมาในทางที่ชั่ว คิดในทางที่ไม่ดีตัวนี้แหละมันจะบังคับ สติตัวนั้น มันจะบังคับลง บัดนี้ปัญญามันจะสอดรู้ คือความรู้ความเห็นของปัญญานั้น ปัญญามันจะสอดเข้าไป มันจะรู้ว่าตัวนี้มันผิด มันจะบอก ไม่ควรคิดขึ้นมาไม่มีประโยชน์ เพราะตัวนี้มันเป็นเรื่องของอวิชชา จิตใจของเราเขารู้จัก จิตของเราจะระงับออกไป และปัดเป่าออกไป กวาดออกไป เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีสติ ให้มีปัญญา ให้มีศรัทธา คือความเชื่อมั่น กวาดออกไป กวาดออกไป เหมือนเรากวาดบ้านเรา ถ้าเรากวาดและทำความสะอาดอยู่ประจำ บ้านเราก็จะสะอาดไม่มีฝุ่น อันนี้ก็เหมือนกันที่ปกปิดกำบังอยู่เดี๋ยวนี้ มันเยอะ เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าจิตของเรามันเป็นอวิชชา มาตั้งกี่ภพกี่ชาติมา เราไม่รู้ว่าเราเป็นอวิชชา เราหลงไปตามเขา ตัวสมมติมันปรุงแต่งขึ้นมา มันรู้จักจิตนิสัยของเราชอบอย่างนั้น ชอบอย่างนี้มันก็ปรุงแต่ง เหมือนกันกับเสื้อผ้าที่เราใส่อยู่นี่แหละ เราชอบอย่างนั้นมันก็ปรุงแต่งขึ้นมา เราก็ว่าดี ว่าชอบ ว่าสวย อยู่อย่างนั้นแหละ หลงไปตามความเสกสรร ปั้นยอของสมมติแล้วอันนี้คือสมมติตัวนี้ บัดนี้เราก็ไปติดแล้ว พอเราหลงติดยึดสิ่งนี่มาเป็นเราเป็นของเรา ยึดเข้ามา ๆ ใจของเราก็ว่าเป็นของเราแท้ที่จริงมันไม่ใช่

เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า อนิจจังตัวนี้ บัดนี้ตัวของเราก็ไม่รู้ ถึงแม้หูเราได้ยินตาก็ได้เห็น มันก็ไม่ปล่อย มันก็ว่าเป็นตัวของเราอยู่ มันฝึกลึกมาตั้งกี่ภพกี่ชาติแล้ว บัดนี้มีมันถอดยาก เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เดินสติ เดินปัญญาให้รู้เท่าถึงกัน อย่าให้มันหลอกลวงเราทั้งหมดถ้าหากเราไม่รู้ ทั้งหมดนี้ ท่านบอกว่าเป็นตัวอนิจจัง หูเราได้ยินเราก็อย่าไปเชื่อ ตาเห็นก็อย่าไปเชื่อ จมูก ลิ้น กายใจของเราก็อย่าไปเชื่อ ปล่อยให้ออกให้หมด เฉย ๆ ดูปล่อยให้มันสู้กันอยู่สู้กันดู จิตของเราก็จะสงบดี ถ้าเราปล่อยให้มันเย็นมันจะรวบรวมเอาทั้งหมดนี้ทิ้งไปเลย อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันไม่ใช่ ให้เชื่อพระพุทธเจ้า นี้ศรัทธา ตัวนี้แหละสำคัญอีก แต่เราไม่เชื่อ แต่เราได้ยินพระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังอยู่ แต่ว่ามันไม่ปล่อย เพราะจิตของเรามันยังไม่ลงถึงฐานของใจ มันไม่ไปเห็นต้นเหตุ ที่มันเกิดขึ้น มันแสดงขึ้น เมื่อมันไปเห็นต้นเหตุ มันแสดงขึ้นมันเกิดขึ้นแล้วมันก็จะปล่อยไปหมด เพราะทั้งโลกนี้เป็นตัวอนิจจังทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง เกิดมาแล้วต้องมาแก่มาเจ็บมาตายเหมือนกันหมดตลอดทั้งสัตว์ตลอดต้นไม้ เมื่อจิตของเรามันรู้ไป รู้ไปแล้วมันไม่ยึดว่าบ้านนี้เป็นของเรา เสื้อผ้าที่เราเอามาใส่ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่อาศัยกันชั่วคราว ตัวนี้ก็เหมือนกันถ้ามันคิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาเราอย่าไปตาม ให้มีสติ คิดตามถ้ามันคิดในทางที่ดีในทางที่ชอบ เราจึงตามมันดู

เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ระมัดระวัง ให้มีสติ ดีกับชั่วมันคู่กัน ถ้ามันคิดดีขึ้นมาเราอย่าเพิ่งไปเชื่อแต่ให้เรารู้ว่าดี เฉย ๆ แต่เราอย่าไปเชื่อมัน มันกลับชั่วขึ้นมา ครั้งแรกให้ดูทางหน้าบัดนี้มันจะกลับข้างหลังมาให้ดู เราจะไปหลงมันอยู่ ดีกับชั่วมันอยู่ด้วยกัน คือความรักกับความเกลียดเมื่อมันหยุด ความรัก ความเกลียดความแค้นมันจะเพิ่มขึ้นมา มันแทรกกันอยู่ตัวนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ชำนิชำนาญในการปล่อย ก็ปล่อยหมดเราอย่าไปเชื่อข้างนอกก็ตามข้างในก็ตาม ข้างนอกคือตาเห็น หูได้ยิน จมูกเราได้สูดกลิ่น ลิ้มรส ได้ลิ้มรสอยู่ข้างนอก ข้างในคือใจมันคิดมันปรุงมันแต่ง เราอย่าไปเชื่อปล่อยทิ้งไปหมด ถ้าเรายังปลดยังปล่อยไม่เป็น ต้องปล่อยให้มีประโยชน์ ตัวนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเราทำไมให้มันแก่ ทำไมให้มันเจ็บ มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นั่นมันแสดงถึงเรื่องนี้

เพราะฉะนั้นขนาดเขาแสดงให้เรารู้เราเห็นอยู่ มันยังไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา แค่เราจามฟิดเดียวเท่านั้นแหละวิ่งไปหาหมอเลย มันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ เรื่องอาการของจิตเรื่องอาการของความหลงตัวอวิชชาตัวนี้ มันเก่ง มันทับถมเราหมด ไม่ให้เราก้าวไปไหนเลย เพราะฉะนั้นเราจึงปล่อย เราปล่อยไปให้หมดเราอย่าไปเอาอย่ายึดว่าอันนี้เป็นเรา อันนี้เป็นของเรา อันนี้เป็นลูกเรา อันนี้เป็นสามีเรา อันนี้เป็นภรรยาเรา อย่าไปเกี่ยวข้องมันเฉย ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงฝึกจิตของเราฝึกสติของเราให้มันรู้ บัดนี้เมื่อ ธรรมมันเกิดขึ้นเมื่อมันสว่างมันไปสว่างในจิตของเรา ใจของเรามันค่อย ๆ รู้เองมันค่อย ๆ ปล่อยวางเอง มันไม่ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเราทั้งหมด เหมือนกับพวกแหละเราไปยึดสถานที่ว่า นี่สวนเรา นี่นาเรา นี่ที่ดินเรา แต่มันหาใช่ของเรา ไม่มีใครเอาไปได้ มันเป็นของธรรมประจำโลกประจำธรรม มาแต่ไหนแต่ไรมา แต่ตัวไปยึดนี่คืออุปทานของจิต อุปทานของใจ บัดนี้เราปล่อยออกไปให้หมด ตัวอุปทาน ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา เรารู้แล้วให้ปล่อยวางให้หมด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีแน่นอน ร่างกายของเราที่เราครองอยู่ เมื่อลมหายใจข้างในมันไม่ออก ข้างนอกมันไม่เข้า เขาก็เรียกว่าเราตาย เขาก็นำไปเผาทิ้ง มันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ นี่แหละท่านเรียกว่าตัวคลุกขมงมงายมายึดของเก่าเข้าใจว่าเป็นเราเป็นของเรา เราเกิดมาเราก็เอาของเก่านี้แหละคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะมาเอาความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสมมติ มันมีแต่ของเก่าอยู่นี่ทำมาหาอยากหากิน พอแก่ชราก็ตาย เกิดมาอีกก็มาเอาของเก่าอีกอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีสิ้นสุด

เพราะฉะนั้นให้มีสติ ให้มีปัญญา ตัวนี้แหละตัวจะตัดสินใจ ให้เรา ว่าเราจะเกิดอีกไหม พระพุทธเจ้าท่านจึงถามจิตของท่านว่าเบื่อแล้ว เบื่อความเกิด พอแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาเป็นกี่ภพกี่ชาติ เกิดตายมานี้มีแต่ได้รับความทุกข์ ความเวทนาอยู่ตลอดเวลา ไม่เอาอีกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านจึงอิ่มแล้ว พอแล้ว เหมือนตักน้ำใส่ขวดใส่แก้วมันเต็มแก้ว เต็มใจของพระพุทธเจ้า เต็มทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่มีการบกพร่อง ท่านจึงว่า หากจะไปหาเอาดีเอาชั่วเพิ่มเติมให้อีก มันพอแล้วเต็มแล้ว ไม่เอาแล้วท่านว่าอันนี้เขาสมมติเฉย ๆ เราไปหลงยึด มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บัดนี้ให้เราเข้าใจจริง ๆ ใจของเราถ้าเราอบรมให้ดีใจของเราจะกลายเป็นของประเสริฐ จะพาตัวของเราออกจากหลุมลึกที่กองทุกข์ตัวนี้ได้ ไม่มีสิ่งอื่นจะเอาตัวของเราออกจากตัวนี้ได้ เราอย่าไปเชื่อหากคนนั้นว่าอันนั้นดี คนนี้ว่าอันนี้ดี อย่าไปเชื่อ แต่หูเราฟังเฉย ๆ เขาชอบเขาก็ว่าดี ถ้าเราอยากพูดกับเขาเราก็มีปาก ทำไมเราจะพูดไม่เป็น ถ้าพูดดี พูดชั่ว พูดชอบ เพราะฉะนั้นให้จิตของเรามันรู้จริง ๆ เมื่อรู้แล้วมันไม่ยึด แล้วสังเกตว่า ตัวของเราไม่ยึดไม่ถือว่าอันนี้มันเป็นอย่างนี้ จิตของเราก็ค่อย มีกำลังเรื่องนั้นมามันก็ปล่อยเรื่องนี้มันก็ปล่อยใจของเรามันก็เบาไปเพราะมันไม่มีเรื่องไม่มีงาน ใจของเรามันเบา หากไปยึดเอานั่น ไปยึดเอานี่ ไปให้ใจคิดไปให้ใจผูก ใจของเรามันรำคาญเป็นอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรจะร่ำจะรวย เหมือนเราเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ ไม่ร่ำไม่รวยหาอยากหากินใช้ไปก็หมดไป หาใช้ไปใช้ไปหมดไปเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ ข้างในมีก็เหมือนกันกับข้างนอก

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นข้างนอกแล้วรู้เท่าถึงใจตนแล้ว ให้น้อมใจเข้าไปสู่ข้างใน ให้ใจข้างในมันรู้มันปล่อย ถ้าข้างนอกได้แล้วมันก็สบายเบา อยู่อย่างนั้นแหละไม่ยึดไม่ถือ ถึงแม้เรามีอยู่เราก็จะเก็บไว้ใช้ เมื่อเราจากไปคนที่เขายังอยู่เขาก็จะใช้ต่อไป อยู่อย่างนั้นแหละ เอาไปไม่ได้เพราะมันเป็นของประจำโลก สิ่งเหล่านี้ท่านเรียกว่าตัวโลภ เอาไปไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าที่ดินบ้าน ที่สวน ที่ไร่ ที่นา อะไรก็ตาม เอาไปไม่ได้ แต่เราเกิดมาเขาก็ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ เมื่อตายไปแล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นของเรา คนที่เขายังอยู่ก็ประคองรักษา อยู่ไป เมื่อเขาตายไปเขาก็เอาไปไม่ได้ อยู่อย่างนี้แหละมาแต่ไหนแต่ไรมา อันนี้ท่านเรียกว่าโลกสมมติ โลกอนิจจัง มีแต่ของไม่แน่นอน ทั้งนั้น บัดนี้เราต้องการเอาอะไร

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ถามตัวของเราว่าเราจะเอาของจริง หรือของปลอม ตัวนี้มันเป็นของปลอม มันเป็นของหลอกลวง ถ้าเราเอาของจริงเราก็ปฏิบัติจริงเข้าไป จิตใจของเราก็จะรู้จริงเห็นจริง สติของเราทุกด้านทั้งภายนอกและภายใน ถ้ามีสติปัญญาแล้ว เราก็ออกมาจากกองทุกข์ตัวนี้ได้ ออกจากของสมมติตัวนี้ได้ของยึดมั่นถือมั่นตัวนี้ได้ เพราะมันมัดเราทุกคนตลอด เกิดขึ้นมามันก็มัดไม่ให้ไปที่ไหน พอเกิดขึ้นมาก็เอาความอยากตามมา ถ้าไม่ได้อย่างสมใจก็ร้องไห้ เสียใจ มันจะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ นี่แหละให้เราเข้าใจมันอย่าไปเอามันอย่าไปยึดอย่าไปถืออย่าว่าเป็นเราเป็นของเรา ปล่อยออกไป ๆ ถ้าเราไม่ช่วยเหลือเราใครจะมาช่วยเหลือ ให้เราตั้งใจตัวนี้ มีศรัทธา เป็นสัจธรรม คนอื่นจะมาช่วยทำไม่ได้หรอก ให้เราสังเกต เรากินข้าวหากคนนั้นคนนี้จะกินข้าวแทนเรา ให้เราอิ่ม มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่อิ่ม สามี ก็ตาม ภรรยาก็ตาม ลูกก็ตาม หลายก็ตามไม่มีใครช่วยท่านได้

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงว่า “อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ” ตนและเป็นที่พึ่งของตน อย่าไปอาศัยจมูกคนอื่นหายใจ เมื่อให้เราเข้าใจ ฝังใจอย่าไปอ่อนแอ มิฉะนั้นเราจะสู้มันไม่ได้ มันจะผูกมัดเราหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะไปโน่นไปนี่มันผูกไปหมดและไปไหนไม่ได้ ตัวนี้แหละมันทำลายเราทุก ๆ คน มันทำลายเรา ให้เราลุ่มหลงในกิเลสตัวนี้แหละ ท่านจึงเรียกว่าข้าศึก ท่านเตรียมตัวท่านดีแล้วหรือยัง เพราะมันมีแต่หาเรื่องใส่ อยู่อย่างนั้น ตาก็ดี หูก็ดี จมูกก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี ใจก็ดี มันหาเรื่องใส่เราให้เราติดนั่นคิดนี่แล้วก็ไปยึดเอามา ถ้าได้ยินเสียงไพเราะเสนาะหูก็เกิดความชอบขึ้น มันจึงเอาเข้ามาทำลายเราอยู่ จิตของเรามันก็ไม่สงบ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่เรื่อง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้มีสติให้มีปัญญาตรวจตราดูมัน ให้มันรู้อย่าไปถือเรื่องนี้ให้ปล่อย เรื่องของโลก เพราะฉะนั้นเราจึงไม่รู้ ยกตัวอย่าง เช่น เราเป็นหนี้เขาเราไม่ส่งเขา บัดนี้มันจะทำให้เราคิดทำให้จิตใจของเราไม่สบายอันนี่ท่านว่าโลก คำว่าโลกเจือปนติด้วย ดี และ ชั่ว ให้เราเข้าใจมันอยู่ในตัวของเรานี่แหละ พิจารณาดูตัวของเราให้มันรู้ ให้มันปล่อยออก เราอย่าไปยึด ถึงเราไปพบไปเจอในตัวของเราก็ปล่อยออกให้หมด ดีเราอย่าเอา ชั่วเราก็อย่าเอา เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งคู่กันของโลก ความรัก ความชอบมันเป็นคู่กันอยู่ ความเกิด กับ ความตาย มันเป็นคู่กันอยู่ อย่าไปเอา มันเป็นของ ๆ โลก ถ้ารู้แล้วให้ปล่อยวาง ให้รู้เฉย ๆ เหมือนกับผู้หญิงผู้ชายมันเป็นคู่กันเฉย ๆ เมื่อรู้แล้วเราก็ปล่อย อย่าไปยึดว่าเป็นสามีเรา ภรรยาเรา อย่าไปคิดอย่างนั้นอย่าไปหลงอย่างนั้น ท่านว่า ความดีความชั่วก็เหมือนกันเป็นของคู่กันอยู่ มันเป็นเรื่องของโลก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้ปล่อยออกให้หมด พวกเรามาติดอยู่ที่นี่แหละ มาติดมาข้องอยู่ที่นี่เลยไม่รู้จักปลดจักปล่อย ไม่รู้จักปล่อยวางพาออกจากตัวของเรา เรามาติดดี ติดชั่ว ติดเกิด ติดตาย อยู่อย่างนั้นแหละ เราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านจึงให้รู้หมด รู้แล้วอย่าไปยึดเอาอย่ามาคิด

ท่านจึงให้มีสติบังคับตัวนี้แหละเอาไว้ อย่ามาคิดอย่ามาปรุงอย่ามาตกมาแต่งว่าดีว่าไม่ดี อันนี้เรามาติดดีติดชั่ว หลงดีหลงชั่วมันเป็นของประจำโลกมันเป็นภาษาของสมมติ ของอวิชชาสมมติ ถ้าเราชอบแล้วก็ว่าดี ถ้าไม่ชอบแล้วก็เกลียดก็ว่าชั่ว ถ้าจิตของเรา ใจของเรามันพลิกแพลงอยู่เหมือนกับปากกาต้องการตัวหนังสือ อันไหนมันชอบมันก็เขียนลงว่าชอบว่าดี ปากกามันมีน้ำหมึก น้ำหมึกอันนั้นท่านเรียกว่าน้ำสมมติ ตัว (ก.) ก็ออกมาจากตรงนั้น ตัว (ข.) ก็ออกมาจากตรงนั้นตลอดตัวสุดท้ายก็ออกมาจากตรงนั้น ปากกาด้ามนี้ก็ด้ามเดียวกัน แต่ว่ามันมาเปลี่ยนแปลงรูปนามมัน มันให้ชื่อไม่ตรงกันตัวนั้นว่าอย่างนั้น ตัวนี้ว่าอย่างนี้ เหมือนกันกับว่า ผู้หญิง ผู้ชาย ธาตุขันธ์อันเดียวกันเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงปล่อยออกได้ ไม่ว่าคนนั้นเป็นผู้หญิง ไม่ว่าคนนี้เป็นผู้ชาย ท่านมาตรวจดูสภาพร่างกายแล้วมันก็คือธาตุขันธ์อันเดียวกัน อนิจจัง ของไม่เที่ยงอันเดียวกัน ผู้ชายก็มีเหมือนกัน ธาตุนี้ เป็นธาตุที่หลอกลวง ธาตุไม่แน่นอนท่านจึงตัดออก ไม่เอา บัดนี้ท่านจึงไปหาความจริง แต่อยู่ในนี้ทั้งหมด

บัดนี้เมื่อใจของเราไม่คิดขึ้นมาใจของเราอยู่เฉย ๆ ท่านเรียกว่าความสงบของใจอันนั้นมันเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อความสงบมันเกิดขึ้นในใจนั้น มันคิดว่าดี ว่าชั่ว ว่ารัก ว่าเกลียด มันเฉย ๆ อยู่ ดีมันก็ไม่เอา ชั่วมันก็ไม่เอา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนจิตของท่านให้รู้ ให้เราคิดรักษาตัวของเราสร้างตัวของเรา ถอนตัวของเราออกจากสิ่งที่ผูกมัดเรา คือความรักตัวนั้น อันนั้นมันไม่อยู่ที่ไหนมันอยู่ในใจ ให้เราตัดออก อย่าไปเชื่อมัน เพราะสภาพตอนนี้เป็นสภาพของ อนิจจัง อย่าเอาไปถือว่า เป็นเราเป็นของเราให้รู้เมื่อรู้แล้วให้ปล่อยตามเอาไว้เฉย ๆ ความเฉย ๆ นี่ท่านเรียกว่าอุเบกขา ไม่เอาดีไม่เอาชั่ว ไม่เอารัก ไม่เอาชอบ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับอะไร ให้เฉยๆ อยู่ตาเราเห็นก็เหมือนกัน หูเมื่อได้ยินก็เหมือนกันให้เฉย ๆ อันนี้บังคับมันไว้ให้หมด อย่าให้มีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดถ้ามันคิดขึ้นมามันเผาเรา ถ้าไปตกที่เราไม่รู้เราลุ่มหลงไป บัดนี้มันก็คิดขึ้นกว้างออกไป ๆ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านให้เราน้อมเข้ามา น้อมเข้ามา ให้มันเห็นอยู่ในใจของเรานี้ทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายในเมื่อจิตของเรามันรู้เท่าถึงกันมองไปที่ไหนก็เหมือนกันหมด มองไปที่ป่าก็เหมือนกันกับว่า สัตว์โลกอยู่ในบ้านนี่แหละเขาก็มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ถ้าเขาไม่มีปากมีเสียงเราต้องสังเกต น้อมมาสอนเรา สิ่งที่ไม่ดีก็เยอะ สิ่งที่ดีก็เยอะ เหมือนกับคนอยู่ในบ้านคนดีก็มีคนชั่วก็มี เหมือนกันหมด

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า โลกสังขารธรรมเป็นของไม่เที่ยงทั้งหมด เราจะหาสิ่งไหนเที่ยงยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้ ตัวนั้นแหละเราจะเดินเข้าสู่ทางพลิกจิตของเราเดิน เหมือนเรามีภาวนา แต่คนไม่มีทาน ไม่มีศีล ไม่มีภาวนา ต่างกัน อย่างไร มันเป็นอย่างนั้น บัดนี้เราจึงน้อมจิตของเรานี้ให้อยู่ สงบจะเห็นอยู่ในนี้หมด เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ฝึกหัดสติเราให้รู้ อย่าให้มันไปข้องติดอยู่กับสิ่งใด ๆ เหล่านี้จิตของเรารู้ มันเป็นธรรมดา เป็นอนิจจัง มันเป็นของไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของเรา สิ่งนี้เรามาหลงยึดหลงถือนี่ มารักมาชอบอยู่นี่ มาหลงดีหลงชั่วอยู่ ถ้ามันคิดขึ้นมาเราก็ว่าเราคิด แต่จริง ๆ ธาตุขันธ์ของเขาหมุนเขาทำงาน กิเลสมันมัดมันครอบครองอยู่ มันส่งส่ายของมัน ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง มันทำงานอยู่ในใจของเรานี่ มันอาศัยใจเรานี้แหละ บัดนี้มันบังคับใจของเราไม่ให้บอกข่าวแก่พวกเรา บัดนี้ใจมันไม่มีที่อาศัยของพวกกิเลส ตัณหา พวกนี้ เข้าไปครอบงำหรือปกครอง มันจะดีดดิ้นไม่ได้ เขาว่าดีก็ดีไปตามเขา เขาว่าชั่วก็ชั่วไปตามเขา แต่มันไม่สามารถกล้าจะบอกเพราะอวิชชาตัวนั้นมันบังคับไว้ บัดนี้ จิตของเรามันไม่มีใครช่วยเหลือ

พระพุทธเจ้าท่านว่า จิตของเราถ้าเรามีการช่วยเหลือจิตของเรา จิตของเราจะเป็นจิตที่ประเสริฐขึ้นมา สติปัญญา ของเรามันก็ไม่มี บัดนี้มันก็ปล่อยให้แต่ความชั่วเข้ามาทับอยู่อย่างนั้น ก็ทำให้เรามองหาเราไม่เห็น เพราะฉะนั้นพระพุทธท่านเจ้าจึงว่า ให้ออกให้หมด ดีก็อย่าเอา ชั่วก็อย่าเอา บุญก็อย่าเอา บาปก็อย่าเอา ให้เฉย ๆ อยู่ เอาไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแต่ก่อนพระพุทธเจ้าก็เคยติดอยู่เหมือนเรานี้แหละ ท่านปีนล้มปีนตายมาห้าร้อยชาติ ท่านมาติดอยู่ที่นี่แหละ แต่ก่อน มาติดอยู่จิตชั่วนี้ มาเกิดเป็นนั่นเกิดเป็นนี่อยู่อย่างนั้น ท่านได้ทุ่มเท พลังกำลังของท่าน ตายก็ตาย เป็นอะไรก็เป็น สู้อยู่กับกิเลส ไม่ให้กิเลศกิน ไม่ให้เรากิน 49 วัน ท่านรอดตาย มดเจาะลูกตาเข้าไปอยู่ในเบ้าตาของพระพุทธเจ้า ท่านควักออกมาดูได้ข้างละเท่ากะลามะพร้าว อันนี้ท่านก็ไม่ว่าอะไร อันนี้ท่านปล่อย ท่านไม่ได้ห่วงท่านรอดตาย ท่านว่าไม่มีอะไรจะหมดห่วงเท่าถอดจิตออกจากกองทุกข์

เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าจะสร้างตึกรามบ้านช่องไปถึงดาวดึงส์ก็มีแต่จะไปร้องไห้ โอดอวนครวญครางอยู่อย่างนั้นแหละ อันนี้เราไม่เหมือนดาวดึงส์ เพราะดาวดึงส์มองไปที่ไหน ๆ ก็ระยิบระยับไปหมด ไม่โอดอวนถึงความอยากความกิน ในเมื่อวันอิ่มแล้ว มันต่างกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าไปสร้างตึกรามบ้านช่อง แข่งขันดาวดึงส์ พวกเรามีแต่จะไปร้องครวญครางอยู่อย่างนั้นแหละ ดาวดึงส์เขาพอแล้วอิ่มแล้ว ตัวของเขานึกถึงอย่างนั้นอย่างนี้เขานึกขึ้นมาได้เต็มไปหมด อันนี้แหละเราต้องทำให้มันได้ ทำให้มันเห็น มันอยู่ในตัวของเรานี้แหละเราจะเห็น เราอย่าไปสงสัยว่าที่อื่น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ท่านก็เห็นอยู่ในตัวท่านนั่นแหละ ท่านนำมาพร่ำสอนพวกเราพวกเราอย่าไปสงสัย เหมือนกันกับว่าเปรียบเทียบภายนอก เหมือนกันกับว่าต้นพริก มะเขือ ผลพวงก็อยู่ที่ต้นของมันนั้นแหละมันไม่ได้ขอมาจากต้นอื่น บัดนี้เขาได้แสดงให้เห็นว่าโลกได้รับความสุขความต้องการอยู่กับเขาอยู่ เขาแสดงความบริสุทธิ์ให้โลกได้เห็นอยู่ทำไมเราถึงไม่เชื่อ อันนี้ไม่เห็นว่ามันจะต้องไปขอมาจากต้นนั้นต้นนี้ เหมือนกล้วย มะละกอ มันก็เป็นผลของมันอย่างนั้น ถ้าลำต้นมันสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นให้เราเข้าใจอย่างนั้น เราจะไปหาว่าธรรมมีอยู่ที่นั้นที่นี่ไม่ใช่ มันอยู่กับตัวของเราเอง พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า ทำดีได้ดี ไม่ได้ชั่ว เราต้องการชั่วก็ไม่ชั่ว เพราะการกระทำของเรามันไม่ชั่ว เพราะการกระทำของเราเป็นต้นเหตุ ผลของมันจะให้เป็นอื่นมันไม่เป็น เป็นของดีทั้งนั้น เราทำดีแล้วไม่ต้องสงสัยว่าจะเป็นอื่นต้องได้ดีแน่นอน

บัดนี้เราจะเชื่อไหมตัวศรัทธาตัวนี้ หากเราเชื่ออย่างนั้น ศรัทธาอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อ ศรัทธาค่อย ๆ จะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เชื่อศรัทธานั้นก็จะไม่เกิด ท่านจึงว่า ศรัทธา แปลว่าความเชื่อ ความเลื่อมใส บัดนี้ความเลื่อมใสตัวนั้น มันจะสบายขึ้นมาเราจะมองเห็นทางเดินของเรา ทั้งดีและชั่ว และนี่จิตของเราใจของเราก็นึกแต่จะทำทางที่ดีเพราะมันเห็นมันเกิดขึ้น ท่านจึงว่าดีใดไม่เห็นว่ามีโทษ ดีนั้นแหละชื่อว่าดีเลิศ ได้สมบัติใดทั้งปวงไม่ประเสริฐเท่าได้ตน นั้นเราเอาตัวของเราได้แล้ว เพราะตัวเราเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สมบัติทั้งปวง ท่านว่าบัดนี้ ผลของมันก็จะเกิดขึ้น ๆ จากตัวของเรานี้แหละ เราไม่ได้ไปหาที่อื่น เหมือนกันกับว่าแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างทรัพย์สมบัติในแผ่นดินนี้ ให้โลกได้พึ่งพาอาศัยอยู่ เราเกิดมาก็อาศัยแผ่นดินนี้แหละ อยู่ทุกวัน บัดนี้เมื่อเราอาศัยแล้ว หมดกำลังแล้ว คือความตายของเรามาถึงแล้วเราก็ส่งไป ไปส่งเขาไปเป็นดินเหมือนเก่าเอาไปไหนไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนโลกอยู่ พวกเราที่เกิดมาหาอยากหากินแล้วก็ตายเป็นดินเหมือนเก่า ท่านเรียกว่า วัฎจักรความหมุนของโลก มันหมุนอยู่อย่างนั้น เราเกิดมาหาอยากหากิน มาเฒ่ามาตาย มาหลงของเขาท่านจึงว่า หลงของเขาว่าเป็นของใหม่อยู่เรื่อยๆ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าก็หลงมาเหมือนกับพวกเรา มาสักกี่ภพกี่ชาติท่านรอดเป็นรอดตาย ท่านจึงรู้

คือจิตของเรายังมีผู้ช่วยเหลือ มันจึงหลงไป เพราะอวิชชามันบังคับมัน มันหานั่นหานี่มาให้เรา มาให้จิตของเรา เหมือนกับคนกินเหล้าอันนี้ก็เมาไป เมามาบัดนี้ ไม่มีหนทางจะออกจากตัวนี้ได้ เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เหมือนกันเกิดมาพอแก่เฒ่าก็ตาย อยู่อย่างนั้นแหละ

ท่านจึงว่าโลกนี้ชื่อว่าโลกเกิดตาย ท่านจึงแสวงหาโลกที่ไม่เกิด ท่านจึงค้นหาอยู่ในตัวท่าน ถ้าหมดความเกิดแล้ว ความตายก็ไม่มี มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างลงอยู่ในนั้นหมด ท่านจึงทำลายใจตัวนั้นแหละ นั้นแหละเป็นพลังเขาสร้างภพ สร้างชาติ ท่านเรียกว่าพลังจิตท่านจึงต้องทำลายตัวนั้น อวิชชามันอยู่ที่นี่แหละ มันเป็นโรงงานใหญ่ พระพุทธเจ้าทำลายเรียบหมด บัดนี้มันสร้างอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ท่านจึงว่า ตัณหาจะมาสร้างร่างกายให้ตถาคตอีกไม่ได้แล้ว เพราะช่อฟ้าเราตถาคตได้ทำลายท่านไปหมดแล้ว บัดนี้จิตของเราตถาคตปราศจากสังขารเข้าสู่พระนิพพานแล้ว บัดนี้เราได้ยินพระพุทธเจ้าประกาศท่านในบารมีเก่าที่เราได้มา ท่านจึงให้เราต่อเติมเพิ่มบารมีของรา ได้เป็นมนุษย์ อย่างเต็มภูมิแล้ว บัดนี้อย่าให้ภพชาติของเราเปลี่ยนแปลงหายไปเป็นภพชาติที่ต่ำทราม ท่านจึงให้สร้างบารมีของเรา ต่อเติมเสริมภพชาติของเรา อย่างเต็มภูมิ จงให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวเสมอ สิ่งที่ไม่ดีท่านจึงไม่ให้เอา เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ทำลายภพชาติเรา ถ้าเราไปหลงไปยึดเป็นชาติที่ต่ำทราม เป็นสัตว์ เป็นหมา เป็นควาย ท่านว่ายากที่จะได้กลับมา เพราะสัตว์เหล่านี้เข้าไม่รู้จักดี ชั่วอะไร เขาจะอยู่อย่างนั้นแหละ เขาไม่รู้เราเขาเกิดมาเพราะอะไร เป็นกรรมของเขา ท่านจึงว่าถ้าทำดี เรียกว่ากุศลกรรม ถ้าทำชั่วเรียกอกุศลกรรม กรรมเรานี้แหละจะพาเราไป

ฉะนั้นท่านจึงให้รักษา กาย วาจา ใจ ของเราไว้ อย่าไปคิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้มา อย่างไปหยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูด มาคิดขึ้น อันนั้นเป็นบาปเป็นกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันอยู่ตรงนี้ ให้เราค้นหาอยู่ในตัวของเรานี่เราจะเห็นหมด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ให้ไปหาที่อื่น ไปดูนั้นดูนี่ ที่นั่นที่นี่ท่านไม่ไป เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ท่านจึงแสดงธรรมให้เห็น เป็นธรรมชาติ ของที่มีอยู่แต่ท่านฝังไว้ลึกลับ เหมือนกับพริก มะเขือ มะละกอนั่นแหละ ลูกของมันผลของมันอยู่ที่ไหน ถึงม้าเราจะไปแซะลำต้นมันไม่เห็น มันนำลูกนำผลมาจากไหน มาให้เราได้อยากได้กิน เราก็เห็นเต็มตา รู้เต็มใจอยู่ มันไม่ได้ไปขอที่อื่น หรือไปแย่งมาจากที่อื่นมาเป็นหนี้เป็นสิน มาเป็นโทษเป็นภัย เขาสร้างตัวของเขาให้สมบูรณ์อยู่อย่างนั้น ธรรมชาติเขาแสดงไว้ให้เรารู้ให้เราเห็นอยู่ เราก็น้อมตัวนั้นมาสู่ตัวของเรา ทำไมเราจะไม่เห็น ต้องเห็น ถ้าเราทำจริง เหมือนพริก มะละกอ เขาแสดงให้เห็นผลเขาอยู่ อันนี้เราทำจริงเราก็จะเห็นผลของเราแน่นอน ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องไปถามใคร เราอย่าไปคิดว่าคุณงามความดี หรืออำนาจวาสนามันอยู่ที่อื่น มันอยู่ในตัวของเรานี่

เมื่อเราทำความดีไว้เพียงพอแล้ว พอจิตของเรามันรู้ทางจะไปเอง พอเราหมดจากภพนี้ ชาตินี้มันไปแล้ว มันไปที่มันสร้างไว้แหละ สร้างดีไว้ก็ไปทางดี ไม่ได้ไปทางชั่ว ท่านเทียบเป็นโรงศีล โรงธรรม อันนี้เข้าที่หนึ่งมันไปช่องนี้ เข้าที่สองมันไปช่องนี้ เข้าที่สามมันไปช่องนี้ เข้าที่สามมันไปเป็นสัตว์ เข้าที่สองไปเป็นมนุษย์ เป็นคนดีบ้างชั่วบ้าง เข้าที่หนึ่งเป็นคนดี ราคาก็ต่างกันตามคุณค่า ไม่มีใครไปแยกเขา เขามาถึงนั้นเขาไปเอง วัฏฏะมันหมุนไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เราภาวนา ให้จิตของเราสงบลง เมื่อจิตของเราสงบมันจะรู้เรื่อง เช่น เสียงนี้ หรือความเกิดขึ้น เป็นความอยากดี ความไม่อยากดี มันเกิดขึ้นจากตัวนี้ ถ้าไม่มีตัวนี้มันจะไม่เกิด เพราะฉะนั้นร่างกายของเราทุกส่วนเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ นี่ให้เราเห็นให้เรารู้ เราอย่างไปยึดว่าเป็นของดี ตัวนี้มันทำลายเรา ปกปิดเราทุกสิ่งทุกอย่างแหละมันไม่ให้เรารู้ อันนั้นไปขนมาให้มัน เราไปขนมาให้มัน แล้วมันก็ไม่รักไม่ชอบกับเรา มันยิ่งหาความเจ็บ ความแก่ ความชรา ความตาย มาใส่เราอยู่อย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าอันนี้แหละเป็นตัวข้าศึก มันทำลายเรา ท่านว่าบัดนี้ให้จิตของเรามันรู้ให้จิตของเรามันปล่อย ไม่มีอะไรจะบอกได้ ถ้าเราไม่ดัดไม่แปลงของมัน มันก็จะเอาเราอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเกิดมาแล้ว ท่านจึงว่าเราเกิดมาเอาของเก่า มาเอาความโลภ มาเอาความหลง มาอยาก มากิน มาเฒ่า มาแก่ มาตาย ทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้นี้มันเป็นของประจำโลก มันมาเป็นเรา เป็นของเราเฉย ๆ นี่ตัวสมมติ กายตัวนี้มันเป็นกายที่สมมติ ท่านเรียกว่า อวิชชาสมมติ กิเลสสมมติ ขันธ์สมมติ นี้ให้เราพิจารณาให้มันรู้เราจึงปล่อยตัวนี้ได้ ถ้าเรายังปล่อยไม่เป็น

บัดนี้ถ้าเราได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ แนะนำสั่งสอน ให้เราทิ้งมันให้หมด เราอย่าไปเชื่อมัน บัดนี้เราก็จะรู้ขึ้นเอง ให้เราปล่อยออกจริง ๆ ถ้าเราศรัทธาให้เราเชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ฟังลึกอยู่ในตัวของเรา เรารู้เราได้ยินเราอย่าไปเชื่อ เราเห็นเราก็อย่าไปเชื่อ ใจของเราเกิดขึ้นมาเราก็อย่าไปเชื่อมัน เพราะตัวนี้มันเป็นตัว นิจจัง เป็นตัวสังขาร มันตายให้เราเห็นอยู่อย่างนั้น เราจะไปเชื่อมันได้ยังไง คนมันดีคนมันชั่วเราก็อย่าไปเชื่อ เขาสมมติ เขาชอบเขาก็สมมติว่าดี เขาไม่ชอบก็สมมติว่าไม่ดี อยู่อย่างนั้นแหละ นั้นมันทำให้เราลุ่มหลงอยู่ เราจึงหลงดีหลงชั่ว ติดดีติดชั่วอยู่ ถ้าดีมีอยู่ที่ไหนชั่วก็มีอยู่ที่นั้นแหละ บัดนี้เกิดมีอยู่ที่ไหน ตายก็มีอยู่ที่นั่นแหละ บัดนี้มันเกิดมันดับ มันเกิดมันดับ เพราะฉะนั้น ท่านจึงว่าทั้งหมดในตัวของเรามันเป็นสมุทัย เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ บัดนี้มันเกิดความแก่ขึ้นมามันก็เกิดความทุกข์ เมื่อตามันเห็น มันก็เกิดความอยากขึ้นมา มันก็เกิดความทุกข์ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายสัมผัสก็เช่นเดียวกัน ตัวนี้เป็นตัวของสมุทัย บัดนี้ท่านจึงให้เดินจิตของเรา เดินสติเดินปัญญาของเรา ตัวนี้เพราะไม่มีสิ่งไหนดี มีแต่ของตายทั้งหมด เมื่อตายแล้วมันก็เน่ามันก็เหมือนอยู่อย่างนั้นแหละ มันจะดีได้อย่างไร เราจะว่าเป็นของดีได้อย่างไร

บัดนี้เราถามตัวของเราเองว่าเราชอบของเน่าของเหม็นไหม เราก็ไม่ชอบ ถ้าเราชอบของเน่าของเหม็น เราเป็นอะไรเราจึงชอบสิ่งเหล่านั้น เราเป็นตัวบุ้ง เป็นตัวหนอนหรือ เราเห็นแต่ตัวหนอน เห็นแต่ตัวบุ้ง มันขอบของเน่าของเหม็น ถ้าเราเป็นผู้ที่ดีจริง ๆ เราอย่ามายึดและอย่ามาถือ อันนี้คือความคิดของเรา เมื่อจิตของเรามันได้รับธรรมคำสั่งสอนแล้ว มันก็ค่อย ๆ ถอยออกมันไม่ยึด ถ้าไม่เชื่อ พอเราสิ้นลมหายใจ หรือตายไปไม่ถึง 10 นาที ลองสูดกลิ่นดู คนตาย หรือ สัตว์ ตายก็เหมือนกัน มันก็จะเกิดการพองขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า เราไม่ใช่ตัวบุ้ง ไม่ใช่ ตัวหนอน เราจะไปชอบของเน่าของตายอย่างนั้นหรือ นี่ท่านสอน บัดนี้ให้เรารู้ตัวอยู่ทุกเวลา เว้นไว้แต่เรานอนหลับ ให้เรารู้สติอยู่ตลอดเวลา พอตื่นขึ้นมาเราก็จะเห็น

ธรรมะจากหลวงปู่สอ
– พระธรรมเทศนา 17 พฤศจิกายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] – เทศน์ เมื่อ 5-12 กันยายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] – พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] – ธรรมะจากหลวงปู่สอ [15 มิถุนายน 2552 18:33 น.] ดูทั้งหมด

เทศน์ เมื่อ 5-12 กันยายน 2546

เทศน์ เมื่อ 5-12 กันยายน 2546

พระธรรมเทศนา หลวงปู่สอ พันธุโล
เทศนาเมื่อวันที่ 5-12 กันยายน 2546

เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ระมัดระวังให้สร้างสติ สร้างปัญญาของเราให้มันเกิดขึ้น เพื่อจะได้ทำการห้ามตัวนี้ ตัวมันพาเราคะนองอยู่ หมดโลกนี้มันเจอเหมือนกันหมด ใจของเราถ้าเราอบรมให้ถูกทาง ใจของเราจะกลายเป็นของประเสริฐ ขึ้นมาให้เราได้ชมอย่างภูมิใจ ถ้าเราไม่อบรมใจของเรา ไม่มีใครจะมาอบรมให้เราได้ เราอย่าไปสงสัยว่าคนนั้น คนนี้เขาจะมาช่วยเหลือ ช่วยกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าเรื่องกรรม พวกเราทุกคนแหละกรรมพวกเราทุกคนเคยสร้างมา ท่านจึงว่าพวกเราได้สร้างมาอย่างไร เราก็จะได้รับกรรมอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้แล้ว เราจะออกหนีจากรรมให้ได้ กรรมตัวนี้มายึดเรา เราก็ไม่ยึดกรรมเหมือนแต่ก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยออกให้หมด ในร่างกายของเรานี้ก็ปล่อยออกให้หมด เราอย่าไปเชื่อมั่น ตัวนี้มันเป็นตัวอนิจจัง ถ้าว่าอนิจจังมันมีของไม่เที่ยงมันมีอยู่ ความทุกข์มันก็มีอยู่ตัวนี้เพราะฉะนั้นเราปราบปรามห้ามเขาไม่อยู่ ตัวนี้ อันนี้มันก่อทุกข์ใส่เราอยู่ตลอดเวลา บัดนี้ถ้าเราไม่มีสติไม่มีปัญญาก็จะหลบหนีจากตัวนี้ไม่ได้ ก็คล้อยตามัน ๆ อย่างเราเคยเป็นมาอยู่ทุกวันนี้ที่เราได้รับความทุกข์อยู่ตลอด บัดนี้เมื่อเราตายลงไปธาตุขันธ์ของเราเปลี่ยนแปลงแตกสลายดับลงไปแล้วไม่มีอะไรติดตัว

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราสร้างคุณงามความดี ให้เพียงพอให้มีทาน มีศีล มีภาวนา เป็นเส้นทางของพระพุทธเจ้าพาเดิน บัดนี้เราอย่าไปหยุด ทำแต่ข้อที่ท่านมอบไว้ให้แก่เรา ให้เอาเข้า สู่จิต สู่ใจ ของเรา สัมมาฐิติ ความเห็นชอบอันนี้คือความเห็นของเรา มีเรามาภาวนาคือความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นตัวนี้มันคือความเห็นของ สัมมาฐิติ อันนี้ให้เราจำไว้ สัมมาสังกัปโป ความดำริ เราดำริอยากออกหนีจากความทุกข์ ให้เรานึกถึงตัวของเรา สัมมาวาจา การพูดจาปราศรัยของเราก็ค่อยระมัดระวัง บัดนี้ สัมมากัมมันโต การงานทุกสิ่งทุกอย่างให้สวยให้ทำดี สัมมาวายาโม ความเพียรของเราก็เหมือนกัน สัมมาอาชีโว สิ่งที่มันเป็นพิษเป็นภัยแก่ร่างกายเราอย่าเอาเข้ามามันผิดธรรม เราอย่าไปฆ่าสัตว์ ฆ่านั้น ฆ่านี่ เอามาหลอน มันผิด บัดนี้ กรรมตัวนั้นแหละมันเข้ามาสู่ สัมมาสติ สติของเราให้ชอบ ให้ดูแลตัวของเรา สัมมาสมาธิ ให้หนักแน่นในการดูแลอย่างพลั้งเผลอ อย่าไปเผลอตัว สิ่งที่ไม่ดีมันจะลวงเข้ามา สัมมาธรรม แปดข้อนี้ พระพุทธเจ้ามอบไว้ให้แก่พวกเราอันนี้ถ้าเราดำเนินธรรมแปดข้อนี้ได้เราจะมีความสุข อันนี้หนทางพ้นทุกข์ ต้องพ้นได้ทุก ๆ คน แหละ

บัดนี้กรรมมันมาไม่ได้ เพราะว่าธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องรักษาจิตใจของเราอยู่สติของเราก็ให้ดีการกระทำของเราก็ให้ดี การพูดจาก็ดี การคิดทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี เพราะธรรมตัวนี้เขาดูแลเราอยู่ บัดนี้เราก็กลัวเขาจะผิดพลาด บัดนี้ใจของเรามันก็ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ จิตใจของเรามันก็เข้มแข็ง เคยพูดแข็ง ๆ มามันก็อ่อนลงเราสังเกต ธรรมมันกำลังเริ่มเข้าสู่จิตสู่ใจของเราใจของเรากำลังมองแลธรรม เราก็ค่อยรู้จักในตัวของเรา เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเครื่องรักษาเรา เป็นเครื่องรักษาสมบัติธรรม ความไม่ดี ความดี นี่สมบัติภายในตลอดสมบัติภายนอกบัดนี้ดีไปหมด ท่านจึงว่า เมื่อท่านสรุปธรรมท่านแล้วบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว แต่ให้จิตใจของเรามันรู้จริง ๆ อย่าให้พลั้งเผลออย่าปล่อยตัว บัดนี้ความพลั้งเผลอ เราเคยพลั้งเผลอมามันได้อะไร บัดนี้ เพราะฉะนั้นจิตของเราใจของเรามันก็ตั้งสติตั้งตัวขึ้น พอมันตรวจดูแล้ว การงานทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีการเลินเล่อเผลอตัว การงานของเราก็เรียบร้อย การงานของเราก็ไม่เสียหายเหมือนกันกับว่าเรารักษาบ้านของเรา ๆ รักษาดีสิ่งของในบ้านเราก็ไม่ตกเป็นของโจร ของมาร ตัวนี้ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นให้เราฝึกสติของเรา ให้มีสติ มีปัญญา มีศรัทธา มีความเพียร มีพระพุทธเจ้าท่านเดินอยู่อย่างนี้ไม่ว่าจะไปในสังคมหรือสมาคมก็ตาม ให้ระมัดระวังอย่าไปดูคนอื่น ให้ดูตัวของเรา กำหนดจิตของเราดูไป จิตของเรามันจะคิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าภายนอกมันผิด ตัวนี้มันจะแสดงออกมาเองเราก็รู้จิตของเราใจของเรา อะไรจะไปรู้เท่าใจ ใจของเราถ้าความรู้มันเกิดขึ้นแล้วไม่มีอะไรเสมอ

เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าใจของเราเป็นของประเสริฐ ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ การตรวจตราดูตัวของเรานี่ คนอื่นก็เช่นเดียวกันเราอย่าไปเห็นว่า คนนั้นดี คนนี้ชั่ว เหมือนกันกับเรา เท่ากันกับเราไม่นอกเหนือไปเลย ขน เลือด เนื้อ ๆ อันเดียวกัน มีเท่ากัน หู ตา จมูก อะไรเท่ากัน เขาไม่มี ห้าตา หกตา อย่าไปสงสัย อย่าไปสงสัยว่าเขาจะมีหน้า ห้าหน้า หกหน้า ไม่มี มีหน้าเดียวอย่าไปสงสัย ไม่สำคัญในเรื่องนั้น ข้อสำคัญขอให้จิตของเรามันสงบ ใจของมันรู้เป็นพอ เราอย่าไปหลงตามความเสกสรรปั้นยอของความคิด ของความหลอกลวง อันนี้มันอยู่ในนี้ทั้งหมดแหละ บัดนี้มันจะหลอกลวงเราให้เราพลั้งเผลอไป มันก็คิดขึ้นมาว่าอันนั้นดี ตามันก็พลันไปดู หูมันก็พลับไปฟัง มันก็ยึดเข้ามา มายึดแล้วก็ไม่ได้อะไร มันก็ยึดเรื่อยไป หลอกเราให้เราพลั้งเผลอ เวลาเราพลั้งเผลอเราเผลอสติแพลบเดียวเท่านั้น บัดนี้เราไม่รู้จักก็เหมือนกันกับว่ากล้องถ่ายรูปพอตามเรามันแพลบเข้าไป เรื่องมันเข้าไปถึงใจแล้ว เราไม่รู้จัก เหมือนกันกับว่าเขา กดกล้องของเขาแพลบเดียวรูปของเราก็วิ่งเข้าไปหาฟิล์มของเขาแล้ว อันนั้นมันไปติดอยู่ในฟิล์มแล้ว ตัวนี้ก็เหมือนกัน ตัวนี้มันยิงอยู่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนให้เราเฉลียวฉลาด ให้แหลมคมอย่าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่นท่านว่า อันนี้เกิดมา ท่านว่าเรามาหาอะไร เรามาศึกษา เพื่อหาความรู้ความเฉลียวฉลาดของเราให้มันเกิดขึ้นให้รู้กลมายาโลก โลกนี้ไม่แน่นอน เราจะไปโลกไหนถึงจะแน่นอน

พระพุทธเจ้าท่านตรวจดูตัวของท่าน ๆ ท่านจึงได้ออกหนีจากโลกนี้ โลกอันนี้เป็นอยู่อย่างนี้ เราจะไปตำหนิติเขาไม่ได้ มีแต่เราหนีจากเขา มีแต่เราออกจากเขา เราอย่าไปมัดตัวของเราใส่ตัวเขา อันนี้เรามัดตัวของเราใส่ตัวของเรา มันก็พอแรงแล้ว นี้ให้เรารู้ เรามายึดตัวนี้ว่าเป็นเรา เป็นของเราอันนี้เราไม่รู้หรอกว่ากองทุกข์ เมื่อเรารู้จักแล้ว เราปล่อยตัวนี้ออก ตัวนี้มันก็อ่อนไป มันก็ไม่เอาทุกข์มาแผดเผาเรา ความเจ็บปวดโรคภัยไข้เจ็บมันก็ค่อย ๆ หายไปเลย ค่อยหายไปเอง โรคภัยก็ไม่ค่อยมีเพราะเราระงับดับมันได้แล้ว ท่านจึงว่าถ้าไฟไหม้ที่ไหนให้หาน้ำที่นั้นดับไฟ ตาบอดที่ไหนหายาที่นั้นใส่ ยาสติปัญญาของเรานี้เพื่อจะให้ตัวของเรามันรู้มันสว่างขึ้นตาของเรามันรู้ตามของเรามันใส นั้นแหละ น้ำใสใจจริงอันนี้มันลุกขึ้นมา

อันนี้มันรู้หมดมองดูภายในตัวของเรามันรู้หมด เราคิดอย่างนั้น ๆ มันก็รู้ไม่ไปยึดติด เพราะธาตุขันธ์อันเดียวกัน ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเดียวกัน เหมือนกันกับว่าโทรศัพท์ เขาพูดอยู่กรุงเทพฯ เราฟังอยู่ตรงนี้ก็ได้ยินเขาพูดอย่างนั้น ๆ มันติด ๆ กันอยู่วิ่งผ่านไป ผ่านมาเพราะฉะนั้นเมื่อจิตใจเราแจ่มแจ้งแล้วเรามองเห็นหมดว่า คนนั้นตายไปจะไปเป็นนั้น คนนี้ตายไปจะไปเป็นผี คนนี้ตายไปจะไปเกิดเป็นนี้ เรารู้มันอยู่ในจิต ของเรา อยู่ในใจของเรานี่หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เรามีสติให้เรามีปัญญาเพื่อจะแก้ไขตัวของเราหรือปลดเปลื้องตัวของเรา ให้พ้นจากความทุกข์ ความมืดบอดนี้ตัวนี้

พระพุทธเจ้าท่านมีพระเมตตาแก่พวกเรามากท่านจึงสอน อันนี้ให้ตั้งใจฝึกดูใจของเรามันต้องเห็น มันเป็นอย่างนั้น ๆ แหละ มันจะอยู่กับใจของเรา เรื่องเราภาวนาเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ ท่านทั้งหลายนั้นทำไมมันไม่รู้ ทำไมมันไม่เห็นเราตรวจดูมันมี อวิชชาตัณหาตัวนี้มันไปกั้น ไม่ให้เรารู้ ไม่ให้เราเห็น นี่มันปกปิดไว้ บัดนี้อวิชชามันอยู่ที่ไหน บัดนี้เราค้นหา เมื่อเรารู้แล้วเราทำลายตัวนั้นแหละ ทำลายอวิชชาคือความไม่รู้ให้มันตายไปอันนี้มันก็จะเกิดความสว่างแพลบขึ้น ให้เรารู้พอมันแพลบขึ้นจิตของเราใจของเรามันได้รับแสงตัวนั้นนิดเดียวมันก็พอใจแล้ว มันต่อสู้ได้แล้ว มันได้เครื่องมืออันนี้แล้ว ตัวอวิชชามันอยู่ที่นี่ บัดนี้มันเข้าฐานเลยแหละ ดีก็ดีไม่ดีก็พังกันเลยแหละ เข้าเวรมัน มีแต่เรามองตาม ๆ คือผู้รู้นี้ตามคือปัญญาอันนี้ตาม สติตัวนี้มันถางเข้าไป ๆ บัดนี้อวิชชามันก็กระเด็น ออกมันจะสว่างจ้าขึ้นเลยบัดนี้ นั่นแหละเราได้อยู่ในสถานที่ของเขาแล้ว บัดเนื้อวิชชาได้แตกกระเด็นออกจากใจของเขาหมดแล้วบัดนี้ไม่มีอะไรในใจของเราสบาย เหมือนกันกับไฟมันสว่าง บัดนี้เรามอง ดูบาป ดูบุญ บัดนี้เห็นหมด คนทำบาปได้รับกรรมอย่างนั้นอย่างนี้เราก็รู้ จิตของเรามันก็ถอยมันเคยทำมามันก็หยุด อันนี้มันรู้แล้วมันเห็นแล้ว มันเป็นของจริงไม่ใช่ เป็นของปลอมของหลอกลวง

บัดนี้จิตของเรามันหยุดเองถอยเอง บังคับให้มันถือเหมือนเก่าก่อนมันไม่เอาแล้ว มันหันหลังกลับแล้วบัดนี้มันไม่สู้ มันรู้แล้วเห็นแล้ว อันนี้จิตมันปล่อยวางไว้แล้ว เราก็รู้ว่าเราปล่อยวางไว้แล้ว แต่เราอย่าไปพลั้งเผลอ ตัวนี้มีสำคัญที่สุด เราเคยนั่งภาวนา ความเจ็บความปวด มันเคย เจ็บปวดนั่งชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง มันเคยเจ็บ เวทนามันขึ้นมา บัดนี้มันไม่เจ็บ ตลอดคืนก็ไม่เจ็บ สองวันสองคืนก็ไม่เจ็บมันบังคับได้ขนาดนั้น อันนี้ตัวสติปัญญาตัวนี้ไม่มีอะไรจะเสมอเหมือน บัดนี้มันฆ่าอีกเสียด้วย ทุกรูปทุกนามมันไม่เกี่ยวข้อง คนนั้นว่ารูปนี้ดี รูปนี้สวยมันรู้แล้ว มันเห็นแล้ว ตัวนี้มันรู้แล้วมันไม่เอา มันไม่หลงเหมือนแต่เก่าก่อน คืออวิชชาตัวนั้นมันตายแล้ว มันไม่หลงอวิชชาคือความไม่รู้ บัดนี้มันรู้แล้วมันไม่หลงมันไม่ยึด บัดนี้มันมองไปเหมือนกันกับเรา มันตรวจดูตัวของเราแพลบ ตัวของเราเป็นอย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น คือคนอื่นนะภายนอก คือคนอื่นเป็นอย่างนั้น ๆ ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น จะมาโกหกให้เราลุ่มหลง เหมือนอย่างที่เราเคยเป็นมันไม่ลุ่มหลงมันรู้แล้ว นี่ความรู้ตัวนี้มันแตกต่างกันกับความรู้ที่เราจำมา ความที่เราจำมาคือความรู้ของสัญญา ๆ คือความจำ ความรู้ของธาตุของขันธ์ นี่ความรู้ของขันธ์จริง ๆ

เพราะฉะนั้นให้เราดูตัวของเราให้มันละเอียด อย่าไปสงสัยว่าเราจะไม่รู้มันต้องรู้ ถ้าเราสนใจอยู่ เว้นไว้แต่เราไม่สนใจเราไม่มอง มันก็ไม่รู้มันก็ไม่เห็น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันอยู่ที่นี่หมด อันนี้ความเมตตา ของเรา ที่เราได้รับความลำบากมาสักกี่ภพกี่ชาติมา เรามาหลงเมื่อเรามารู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เห็นช่องทางเดินของเราไปเพราะฉะนั้นท่านจึงให้พิจารณาหรือตรวจตราดูตัวของเราว่าเราอยู่กับเครื่องวุ่นวายกับออกมาอยู่อย่างนี้มันแตกต่างกันไหมอันนี้มันแตกต่างกันเราอยู่ตรงนี้มันสงบ ถึงมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาก่อกวนวุ่นวาย จิตใจของเรามันก็สบายถึงแม้จิตของเราไม่สงบมันก็สบายมันไม่มีเรื่องนี้เราสังเกตตัวของเราอยู่อย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเราจึงสำนึกตัวของเราพระพุทธเจ้าออกจากเคหะสถานไปเป็นอย่างนี้ เหมือนกันกับว่าเราออกมาอย่างนี้แหละ คือจิตดวงเดียวกันใจอันเดียวกันก็ต้องเหมือนกันเพราะฉะนั้นท่านว่าใครรู้ธรรมแล้วไม่ได้ถามกันแหละ ธรรมอันเดียวกัน ความรู้อันเดียวกัน รู้แล้วก็แล้วไปไม่ได้ถามกัน ไม่มีการสงสัยอันนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ได้ถามท่านรู้แล้ว องค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ไม่มี อันเดียวกัน คือ ความเห็นความรู้อันเดียวกันทั้งหมด คือทำดีได้ดีทุกคนเหมือนกันหมด ไม่มีใครจะได้ชั่ว เมื่อเราจากกันไปก็ไม่ได้ถามกัน จะไปเจอหน้ากันก็ไม่ได้ถาม จะถามทำไม คนนั้นเขาก็รู้เราก็รู้ มันมีการสมมติ อันนั้นมันหมด คือมันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสมมติ มันเป็นนิมิต คือความหลุดพ้นการเสกสรรปั้นยอ มันเฉย ๆ อยู่ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมกันมันก็เฉย ๆ อยู่ ไม่คิดว่าคนนั้นน้องคนนี้พี่ไม่ได้คิดอย่างพวกเรา ไม่มีน้องไม่มีพี่ ไม่มีสามีภรรยา ไม่มี ๆ แต่รู้ไปหมด คือ รู้อยู่อย่างนั้นแหละ คือจิตของเรามันเป็นบรมสุขแล้ว นี่จิตของเราเฉย ๆ อยู่มันไม่มีการปรุงแต่ง คือความรักความเกลียดอันนี้มันปรุงแต่ง อันนี้มันเป็นของพวกสมมติ อวิชชาสมมติ กิเลสสมติ มีสมมติขึ้นบัดนี้เราไม่รู้จักเราจึงได้ลุ่มหลงไปตามมัน ว่าดีตามเขาว่าชั่วตามเขาอย่างนั้น ไปอยู่ในป่าในดงคนเดียว องค์เดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกันกับอะไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสียง กับกลิ่นกับรส อะไร แต่ขนาดนั้นมันยังตีหัวพระพุทธเจ้าพลับอยู่ขนาดนั้นแหละ

อันนี้มันดีแล้วให้มันเป็นบารมีของเราไว้ มันเป็นหลักของใจ ๆ ของเรา อย่าให้มันดีดดิ้นไปตามเขาว่าดีเราก็เฉย ๆ อยู่เราอย่าไปเก็บเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเผาเรา ดีเราก็ดูตัวของเรา ชั่วเราก็ดูตัวของเรา ก็พอแล้ว เห็นแล้วรู้แล้ว อันนี้มันความที่เขาสมมติขึ้นให้เรารู้จักอารมณ์ เขาว่าดีเราอย่าไปตื่นเต้นเขาว่าชั่วเราอย่าไปหงอยเหงา กั้นไว้ตัวนี้ หรือคนอื่นเขาพูดอย่างนั้นอย่างนี้เราอย่าไปขัดอารมณ์เขามันหายใจอยาก ท่านว่าเมื่อเขาพูดไม่ถูก หรือพูดถูก เราอย่าไปขัดอารมณ์เขา ถูกก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ถูกก็เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา ให้ผ่านไป ๆ อย่าไปกั้นไว้มันหายใจไม่ออก ตัวนั้นมันจะก่อฟืนก่อไฟขึ้นสำคัญเพราะฉะนั้น จึงว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามันละเอียดมาก ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญาไม่รู้ไม่เห็นมัน ตาเราเคยเห็นคนอย่างนั้น ๆ หูเราได้ยินเสียงอย่างนั้น ๆ มันนำมาปรุง อันนี้อย่าให้มันไปหยิบเอา ให้จิตของเรามันปกติมันอยู่เฉย ๆ อยู่อย่างนั้น อันนั้นท่านสังเกตว่าจิตของเรามันปล่อยได้วางได้มันไม่ดีดดิ้นกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านสังเกตอย่างนั้น บัดนี้จิตของเรามันเคยนิ่งมันเคยเป็นปกติอยู่มัน ก็เป็นปกติอยู่ ถึงแม้หูเราได้ยินเสียงก็ตาม ตาเราเห็นรูปก็ตาม มันไม่เกี่ยวข้อง มันอยู่ปกติมันก็คอยรักษาเราอยู่ ให้อยู่ในจิตของเราในใจของเรานี้ หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เรามีสติให้เรามีปัญญา เพื่อแก้ไขตัวของเราหรือปลดเปลื้อง ตัวของเรา ให้พ้นจากความลุ่มหลง คือความทุกข์ ความมืดบอดตัวนี้ นี่พระพุทธเจ้าท่านมีพระเมตตาแก่พวกเรามากท่านจึงสอนอันนี้แหละ

อันนี้อาตมาไปกรุงเทพฯ ได้เห็นลูกศิษย์ทุกคนมีความเมตตาสงสารกัน เราก็เป็นคนหลงมาเหมือนกันทุก ๆ เมื่อรู้แล้วเราพอจะดึงกันขึ้นจากหลุมลึกที่เราตกอยู่ให้มันพ้นไป ถ้าเรายังไม่มีถึงจุดหมายปลายทางของเรา ก็พอได้เป็นเครื่องมือพอได้เป็นเสบียงของเราต่อไปในภพหน้าชาติหน้าอันนี้เราจะได้ดำเนินต่อไปอีก อันนี้ให้เข้าใจจริง ๆ ดูใจของเรามันต้องรู้ มันต้องเห็น มันเป็นอย่างนั้น ๆ มันก็อยู่กับใจของเรานี่แหละ เรื่องเราทำไมมันจึงภาวนาอยู่ที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ธรรมทั้งหลายนั้น ทำไมมันไม่รู้ทำไมมันไม่เห็นเราตรวจดูมันมีอวิชชา ตัณหาตัวนั้นมันไปกั้นไว้ไม่ให้เรารู้ ไม่ให้เราเห็น นี่มันปกปิดไว้ บัดนี้เรา อวิชชามันอยู่ที่ไหน บัดนี้เราค้นหา เมื่อเรารู้แล้วเราทำลายตัวนั้นแหละ ทำลายอวิชชาคือความไม่รู้นั้นให้มันตายไป อันนี้มันก็จะเกิดความสว่าง แพลบขึ้น ให้เรารู้แล้ว บัดนี้พอมันแพลบจิตของเราใจของเรามันได้รับแสงตัวนั้นนิดเดียวมันก็พอใจแล้วมันมีกำลังมันต่อสู้แล้วบัดนี้มันได้เครื่องมือมาแล้ว …โอ้..ตัวอวิชชามันอยู่ที่นี่บัดนี้มันเข้าฐานเลยแหละ บัดนี้ก็ดีไม่ดีก็พังกันเลยแหละ บัดนี้เข้าเวรมันมีแต่เรามองฐาน ๆ คือ ผู้รู้นี้ฐาน คือปัญญาอันนี้ฐาน สติตัวนี้มันถางเข้าไป ๆ บัดนี้อวิชชามันก็กระเด็นออก บัดนี้มันสว่างจ้าขึ้นเลยบัดนี้

นั้นแหละเราได้อยู่สถานที่ของเขาแล้วบัดนี้ อวิชชาได้แตกกระเด็นออกจากใจของเราหมดแล้ว บัดนี้ไม่มีอะไรในใจของเรามันสว่างเหมือนกับหลอดไฟมันสว่างบัดนี้เรามองดูบาปดูบุญ บัดนี้เห็นหมดคนทำบาปได้รับกรรมอย่างนั้น ๆ เราก็รู้ จิตของเรา จิตของเรามันก็ถอย มันเคยทำมามันก็หยุด อันนี้รู้แล้วมันเห็นแล้ว มันเป็นของจริงไม่ใช่เป็นของปลอมของหลอกลวงบัดนี้จิตของเรามันหยุดเองถอยเอง บังคับให้มันยึดให้มันถือเหมือนแต่เก่าก่อนมันไม่เอาแล้ว มันหันหลังกลับแล้ว บัดนี้มันไม่สู้ มันรู้แล้วมันเห็นแล้ว บัดนี้จิตมันปล่อยวางไว้แล้ว เราก็รู้ว่าเราปล่อยวางไว้แล้ว แต่เราอย่าไปพลั้งเผลอ ตัวนี้สำคัญที่สุด

เพราะฉะนั้นเรานั่งภาวนาความเจ็บปวดมันเคยเจ็บปวด นั่งชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง มันเคยเจ็บเวทนามันขึ้นมา บัดนี้มันไม่เจ็บตลอดคืนก็ไม่เจ็บสองวันสองคืนก็ไม่เจ็บมันบังคับได้ขนาดนั้นแหละ ตัวนี้ตัวสติปัญญาตัวนี้ ไม่มีอะไรจะเสมอเหมือน บัดนี้มันกล้า บัดนี้มันฆ่าอีกเสียด้วย บัดนี้ทุกรูปทุกนามไป มันไม่ได้เกี่ยวข้องคนนั้นว่ารูปนี้ดี รูปนี้สวย..โอ้…มันรู้แล้วมันเห็นแล้วตัวนี้ มันรู้แล้วมันไม่เอามันไม่หลงเหมือนแต่เก่าก่อนอันนี้คืออวิชชา คือความไม่รู้ บัดนี้มันรู้ขึ้นมาแล้วบัดนี้มันไม่หลงมันไม่ยึด บัดนี้มันมองไปเหมือนกันกับเรามันตรวจดูตัวของเรา แพลบ บัดนี้ตัวของเรามันเป็นอย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น คือคนอื่น ๆ นะภายนอก ตัวของเรามันเป็นอย่างนั้น ๆ ภายนอกมันก็เป็นอย่างนั้นจะมาโกหกหลอกลวงให้เราลุ่มหลง เหมือนอย่างที่เราเคยเป็นมาไม่ลุ่มหลงมันรู้แล้ว นี่ความรู้ตัวนี้มันแตกต่างกันกับความรู้ที่เราจำมา อันนี้ความรู้ที่เราจำมา ความรู้ของสัญญา สัญญาคือความจำ ความรู้ของธาตุของขันธ์นี่ความรู้ของธรรมจริง ๆ อันนี้

เพราะฉะนั้นให้เราดูตัวของเราให้มันละเอียดอย่าไปสงสัยว่าเราจะไม่รู้ มันต้องรู้ถ้าเราสนใจจริง ๆ เว้นไว้แต่เราไม่สนใจ เราไม่มองมันก็ไม่รู้มันก็ไม่เห็น ความเกิดความแก่ ความเจ็บความตายมันอยู่ที่นี่หมด อันนี้คือเมตตาของเราที่เราได้รับความทุกข์ความลำบากมาสักกี่ภาพกี่ชาติมาอันนี้เรามาหลง บัดนี้เมื่อเรารู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอเห็นช่องทางเดินของเราไป เพราะฉะนั้นท่านจึงให้พิจารณา หรือตรวจตราดูตัวของเราว่า เราอยู่กับเครื่องวุ่นวายกับออกมาอยู่อย่างนั้นมันแตกต่างกันไหม อันนี้มันแตกต่างกันเราอยู่ที่นี้มันสงบ ถึงมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาก่อกวนวุ่นวายอยู่ จิตของเรามันก็สบายถึงแม้จิตของเราไม่สงบ มันก็สบายมันไม่มีเรื่องนี่เรา สังเกตตัวของเราอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงสำนึกตัวของเรา อันนี้เราออกจากอารมณ์มาได้เราค่อยระวังอารมณ์มันตัวนี้มันสำคัญมันทำให้เราพลั้งเผลอ หลอกลวงตัวอารมณ์ ท่านจึงให้นามว่ากามารมณ์ ตัวนี้บัดนี้ถ้าอารมณ์ดีมันก็เกิดความรักความชอบขึ้น นี่แหละเรามาหลงอยู่ในห้องนี้แหละ บัดนี้อารมณ์ที่มันอยู่ในตัวของเรา เราก็มาหลงตัวนี้อีกตัวนี้ว่าดีว่าดีว่าไม่ดีอยู่นี่ เมื่ออารมณ์ภายนอกอารมณ์ภายในไม่ออก นั่นแหละอันนั้นมันตายแล้ว ที่เขาแสดงที่ไปดูเขาตายนั้นไม่ออกไม่เข้า อันนี้ร่างกายของเรานี่ก็เหมือนกัน บัดนี้เราครองอะไรเป็นเจ้าของ

บัดนี้เราจึงย้อนถามตัวของเราอีกครองของตายหรือครองของดีอันนี้ ให้จิตของเราใจของเราให้มันรู้ตัวนี้นะ เราอย่าไปถือว่าเราดี เราอย่าไปถือว่าเราชั่ว ตัวนี้เหมือนเราไปดูเขา อารมณ์ภายในมันไม่ออก อารมณ์ภายนอกมันไม่เข้า เขาเรียกว่า..ตาย..แต่ที่จริงมันเปลี่ยนภพเหมือนกันกับเสื้อผ้าของเราที่ไหนขาดแล้วก็เปลี่ยนใหม่นั้นก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอยู่กับอะไร อันนี้น้อมมาสอนตัวเราที่เราครองอยู่นี่ คือความตายนี่ คือของไม่เที่ยง ท่านเรียกว่าอนิจจัง นี่จริงไหมเห็นไหมนี่ เราสอนตัวของเราให้เราดู หมั่นดูอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มันพลั้งเผลอ เดี๋ยวมันจะไปหาเรื่องว่าตัวของเราดี ตัวของเราชั่ว ตัวนี้ที่เราดูอยู่นี่ บัดนี้คนอื่นก็เหมือนกันหมด เราอย่าไปว่าเขาดีกว่าเรา เก่งกว่าเรา ไม่มีเสมอกันหมดโลกนี้

เพราะฉะนั้นจิตของเรา มันจึงจะหยุด ในการคิดดีคิดชั่วนี่ หาดีหาชั่วมาหลอกลวงเรา นี่ให้เราเข้าใจอย่างนี้ การภาวนาเราต้องใช้อุบายเพื่อจะบังคับจิตของเราให้มันอยู่ไม่ให้มันดีดดิ้นไม่ให้มันหลอกลวงเรา อันตัวของเราก็เหมือนกันแหละกับที่เขาตาย ดูเขาตายแล้วก็มาดูตัวของเรา ท่านจึงว่า ถ้าไปเห็นคนเจ็บก็ให้น้อมนึกมาถึงตัวของเราว่าไม่วันหนึ่งก็วันหนึ่ง ตัวของเราก็จะเจ็บเหมือนกันกับเขาอีกนี้หนีไปไหนไม่พ้น เมื่อเราไปเห็นคนแก่ ก็ให้น้อมมาสู่ตัวของเราว่า ไม่วันหนึ่งตัวของเราก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนคนแก่นี่หนีไปไหนไม่พ้น เมื่อไปเห็นคนตายเขาก็ให้น้อมมาสอนตัวของเราไม่วันหนึ่งก็วันหนึ่ง เราก็จะไปไหนไม่พ้นเราก็ต้องตายแน่อันนี้ เมื่อเวลาเขาตายแล้วเขาทำอะไรอันนี้มันไม่มีคุณค่าราคาอะไร

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้เรารู้จักว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ให้เรารีบเร่งทำคุณงามความดีให้เพียงพอท่านว่าเมื่อตายแล้วเราจะเสียใจตามภายหลังทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดทุกสิ่งทุกอย่างให้เรานึกคิดว่าตัวของเราอยู่กับของไม่แน่นอน อันนี้ท่านเรียกว่ากองไตรลักษณ์ ตัวนี้ กองอนิจจัง กองทุกข์ขัง กองอนัตตา ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเราทำไมจึงเอามาเผาไฟทิ้ง นี่ให้น้อมนึกมาเห็นตัวของเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้จิตของเราจึงจะได้ไม่พลั้งเผลอจะได้ดูแลอยู่สิ่งโสโครกสกปรก อยู่ในตัวของเรานี่หมดอันนี้ไม่มีที่ไหนดีอันนี้ ๆเมื่อเขาตายได้แล้ว ปล่อยไว้อันนี้วันหนึ่งสองวันก็เกิดเหม็นเกิดเน่าขึ้นมา ตัวของเราก็เหมือนกัน บัดนี้เราน้อมจิตของเราให้มันดีอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ดีดไม่ดิ้นว่าคนนั้นดีว่าคนนี้ไม่ดี บัดนี้เสมอกันหมด

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าโลกนี้โลกสังขารธรรมเป็นของไม่แน่นอน บัดนี้จิตของเรามันเชื่อไหมบัดนี้ นี่เราถามจิตของเรา ถ้ามันเชื่อแล้วก็ เราก็รู้จักเพราะจิตของเรามันตัดสินว่ามันแล้วในตัวศรัทธามันจะเกิดขึ้น บัดนี้มันจะมัดเราให้เราดูอยู่อย่างนี้แหละ ไม่ได้ไปดูที่นั่น ไม่ได้ไปดูที่นี่เราเห็นไปดูที่นี่ เราเห็นไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนี้หมด ทุกข์ความเจ็บความแก่ความตาย เป็นทุกข์เราก็เห็นอีกเสียด้วย ความโสโครกสกปรกอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ไม่มีอะไรจะนอกเหนือจากตัวนี้ไปได้ มีหมดอยู่ที่นี่ เลือดยางอะไรมีหมด

เพราะฉะนั้นเราถามจิตของเรา ว่าเราชอบไหมบัดนี้ชอบสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราชอบเราเป็นอะไร เราจึงชอบสิ่งโสโครกสกปรก เราเป็น บุ้ง เป็นหนอนหรือ จึงตัดปัญญาเข้าไปแต่ให้ปัญญาของเราให้มันแหลมคม นี่เราไม่ใช่ บุ้ง ไม่ใช่หนอน เราจะมานอนกองอยู่หลุมคดหลุมมืดอันนี้หรือ จิตของเราเมื่อมันมองเห็น พอมันรู้มันก็ได้ถอยออกมา ๆ มันจะไม่ยึดว่าอันนี้เป็นเราเป็นของเรานั่นแหละมันถอยออกมันจะปล่อย บัดนี้ตัวนี้เจ็บขึ้นมามันก็ไม่อะไร ตัวนี้แก่มันก็ไม่อะไร มันรู้แล้วนี่มันปล่อย พอมันรู้อย่างนั้นจิตของเรามันปล่อยออกได้แล้วมันก็รู้จัก บัดนี้ตัวของเรามันก็จะได้ออกจากตารางเหมือนนักโทษที่เขาไปคุมขังไว้ในตารางในเรือนจำ เราจะไม่ได้ยึดไว้ตัวนี้เป็นของดีบัดนี้ เราดูตัวของเราคนอื่นก็เหมือนกันหมด ๆ โลกนี้ตลอดจนสัตว์ บัดนี้จิตของเรามันก็ไม่ได้มีความรักไม่ความชอบ ไม่มีความดีใจเสียใจ เพราะเรามันมีหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้ดูตัวของเราอันนี้ ถ้าเราออกจากตัวแล้วเราก็ออกจากตะรางได้ ตัวนี้แหละมันผูกมัดเราๆ ก็มาหลงตัวนี้อีก ตัวของเรานะ หลงเองมันมายึดตัวนี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา มายึดตัวนี้ว่าเป็นของดีเป็นของวิเศษ แต่ที่จริงมันกองทุกข์แน่ ๆ เหมือนเขาตายมาให้เราเห็น มาให้เราดูนี่ ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไรถ้าเราไม่แสวงหาคุณงามความดีแต่ไว้แต่เรามีชีวิตอยู่ไม่มีทาง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่าอย่าไปนิ่งนอนใจ เพราะธาตุขันธ์นี้มันเป็นอนัตตาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เขาเป็นกลางเหมือนแผ่นดิน ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่เราไปหลงยึดว่าอันนี้เราอันนี้ของเราเฉย ๆ ตัวนี้ก็เหมือนกันหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้รู้อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาไม่ให้มีการพลั้งเผลอ ตัวนี้หละมันจะหลอก ตัวนี้แหละมันจะหลอกลวงเรา ถ้ามันจะได้สิ่งนั้นมาสิ่งนี้มามันมาปรุงแต่งข้างในนี่อยู่ในใจ สังขารตัวนั้นมันมาปรุงแต่งขึ้น ถ้าปรุงแต่งสิ่งที่เราชอบ เราพอใจเราก็เกิดความรักความยินดีขึ้นรื่นเริงเพลิดเพลินหลงไปแล้วนั้น ไม่มองหลอกความแก่ ความชรา ความตายอยู่ในตัวของเรา นั่นมันเพลินไปอย่างนั้นแหละเพลินไปเพราะอะไร เพราะอารมณ์ ตัวกามารมณ์ตัวนี้แหละมันส่งมันไม่ให้เราดูตัวของเราแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นตัวของเราจึงได้วิ่งเต้นหรือดีดดิ้นไปตามอารมณ์ ท่านว่าเราไม่ใช่กระดาษพอจะปลิวไปตามลมเมื่อเวลาลมมันพัด ขึ้นมาเพราะเรายังไม่หลัก อันนี้ใจของเรามันยังไม่รู้ จึงได้เพลิดเพลินไปตามอารมณ์ว่าตัวจะดี ว่าตัวจะเก่ง ว่าตัวจะร่ำจะรวย ไม่มีๆใครรวย โลกนี่ไม่มีเราพอหาได้พอได้อยาก พอได้กิน ได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเราไปทุกวัน ๆ ให้เราพิจารณาไปเราอย่าไปยึดไว้ สร้างคุณงามความดีไปเพื่อที่จะออกหนีจากตัวนี้ให้มีกำลัง อันนี้แหละให้จำไว้ ภาวนาค้นคิดหาอุบายสิ่งที่ต่อสู้กับมันตัวนี้…โอ้…กลมายามันเก่งตัวนี้ถ้าปัญญาของเรามันไม่เกิดสู้มันไม่ได้ มันหาเรื่องพอมันมา ตาเห็นรูปเกิดความดีใจพอใจเกิดความรักความชอบหูได้ยินเสียงเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเราเอาตัวนี้ตัดเส้นทางมันไว้คือตัวสติตัวปัญญาตัวนี้ตัด ถึงแม้มันจะหลอกลวงเราว่าดีว่าดีคือเขาสมมติ แต่ตัวจริงมันแน่นอนแล้วอันนี้ อันนี้ให้เราเข้าใจอย่างนั้นการภาวนาจิตของเรามันจึงจะอยู่ บัดนี้จิตของเราเมื่อเราได้รับธรรมถูกต้องแล้วมันค่อยอ่อนลง มันไม่หาเรื่องหาลาวมาหลอกลวงเรา ๆ จึงอยู่ได้ บัดนี้เมื่อเราชำนิชำนาญมาเพียงพอแล้ว เราอยู่คนเดียวเราก็อยู่ได้อยู่ในดงในป่าไม่กลัวไม่อะไรเลย ไม่ได้คิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ได้ว่าตัวของเรามันจะตาย ตัวของเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้คิดอันนี้มันหยุดไปหมด เพราะความปรุงแต่งมันหยุด ใจของเรามันก็ปกติมันจะหยุดที่นี้มันจะหยุดหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเหมือนอย่างเราทุกวันนี้ อันนี้เราหลงเรื่องอาการของจิตเฉย ๆ ทุกคนแหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ฝึกให้ชำนิชำนาญ เมื่อเราจวนตัวเข้ามา คือเมื่อเราจะตาย เราจะได้ต่อสู้กับมัน ถ้าเราภาวนาจิตของเรามีหลักมีฐานมีพื้นฐานพอมั่นคงถาวรแล้วนี่มันไม่เอนเอียงหลอก ถึงแม้มันจะตายมันก็ยังหัวเราะยิ้มอยู่ตัวนี้มันไม่ได้ห่วง เพราะเรามาหลงมาแบกอนิจจังของไม่เที่ยงอันนี้ เราก็เห็นอีกเสียด้วยเราก็รู้อีกเสียด้วยและเป็นของจริงอีกเสียด้วยนี่ เป็นพยานหลักฐาน สติของเรากับผู้รู้นี่แน่นอนขึ้นบัดนี้ นี่แหละมันดีแล้ว เรามาได้ขนาดนี้อันนี้แหละการฝึกจิตของเรา ๆ เราออกมาจากที่วุ่นวายนั้นมันเป็นอย่างไร จิตของเราใจของเรามันก็ต่างกันอย่างนั้น เราจึงเปรียบเทียบกันดูมันจึงรู้สิ่งนั้น

เพราะฉะนั้นองค์พระพุทธเจ้าท่านออกไปได้มันเป็นอย่างนั้น ๆ อันนี้จิตของเรามันก็ค่อยส่งเราออก ถึงแม้เราจะออกไม่ได้ก็ตาม แต่พยายามฝึกตัวของเราอยู่ จะได้เป็นเสบียงไปในภาพหน้าชาติหน้า อันนี้การฝึกจิตนี่สำคัญ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ฝึกให้แอบเมื่อเวลามันมา เราจึงจะได้ไม่วุ่นวายกับสิ่งที่จะมาก่อกวนเราจะออกตัวได้ ถ้าเราออกตัวไม่ได้ เราก็ติดอยู่ในห้องขังเหมือนนักโทษนั่นแหละ อันนี้มันไม่ได้อะไรหลอก มันไม่มีอะไรจะได้มีแต่หลงมัวเมาอยู่กับโลกเฉย ๆ ได้มาก็ใช้ไป หมดแล้วก็หาอยู่อย่างนั้นแหละ บัดนี้ความเฒ่า ความแก่ ความชราของเรามันกินไปๆ วันเดือนปีมันกินไปๆ บัดนี้เราไม่รู้สึกมีแต่รื่นเริงเพลิดเพลินความทะเยอทะยาน กิเลสตัณหาตัวนี้มันหลอกเก่ง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงเบื่อ เมื่อเรารู้เมื่อเราเห็นบัดนี้จิตของเรามันก็ค่อยถอยลง มันไม่ยึดมันไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้สูบกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายได้รับสัมผัสก็เหมือนกันมันก็ถอยออก อันนี้มันน้อมมาถึงตัวของเรานี่ ตัวของเรานี่มันเห็นว่าเป็นของไม่แน่นอน อันนี้แล้วคือของชำรุดทรุดโทรม คือของตาย อันนี้มันก็ค่อยจะคายออกมันไม่ยึด มันไม่ยินดียินร้าย โรคภัยไข้เจ็บอยู่ในตัวของเรานี้มันก็จะค่อยหายออกไปมันไม่มี เพราะเราไม่ได้เกี่ยวข้องกันโรคกับภัย อันนี้เราออกจากโรค ๆ มันเยอะแยะโรคให้เราเข้าใจ ไปอยู่ที่ไหนให้มีสติให้มีปัญญา อย่าปล่อยตัวของเราออกไปหาเจ็บเอานั่นเอานี่มาปรุงมาแต่งให้ดูที่จิตของเราใจของเราอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเราไม่ดูมันไม่เห็นถ้าเราเผลอแล้วมันจะหยิบเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มา ปรุงมาแต่งให้เราลุ่มหลงไปตามมันอยู่อย่างนั้นแหละ หรือรื่นเริงเพลิดเพลินไปตามมัน อันนี้มันเก่งตัวนี้

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงได้ดีดตัวออกไปอยู่ในป่าในดงคนเดียวองค์เดียวไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสอะไร แต่ขนาดนั้นมันยังตีหัวพระพุทธเจ้าพลันอยู่ขนาดนั้นแหละ อันนี้มันดีแล้วให้มันเป็นบารมีของเราไว้ อันนี้มันเป็นหลักของใจ แต่ใจของเราอย่าให้มันดีดดิ้นไปตามเขาว่าดีเราก็เฉย ๆ อยู่เขาว่าชั่วเราก็เฉย ๆ อยู่เราอย่าไปเก็บเอาเราเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเผาเรา ดีเราก็ดูตัวของเราชั่วเราก็ดูตัวของเราก็พอแล้วรู้แล้วเห็นแล้ว อันนี้มันความดีที่เขาสมมติขึ้นอันนี้ให้เรารู้จักอารมณ์ เขาว่าดีเราอย่าไปตื่นเต้น เขาว่าชั่วเราอย่าหงอยเหงา กลั้นไว้ตัวนี้หรือคนอื่นเขาพูอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปขัดอารมณ์คนมันหายใจอยาก ท่านว่าเมื่อเขาพูดไม่ถูกหรือเขาพูดถูก อย่าไปขัดอารมณ์เขา ท่านว่าถูกก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ถูกก็เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา ให้ผ่านไป ๆ อย่าไปกลั้นไว้มันหายใจอยาก ตัวนี้แหละมันจะก่อนฟืนก่อไฟขึ้นสำคัญ

เพราะฉะนั้นจึงว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามันละเอียดมาก ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญาไม่รู้ไม่เห็นมัน บัดนี้ตาเราเคยเห็นเขาคนอย่างนั้น ๆ หูเราได้ยินเสียง ๆ อย่างนั้น มันนำมาคิดมันนำมาปรุง อันนี้อย่าให้มันไปหยิบเอา ให้จิตของเรา ให้มันเป็นปกติมันอยู่เฉย ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ อันนั้นท่านสังเกตว่าจิตของเรามันปล่อยได้วางได้ มันไม่ดีดดิ้นกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาให้สังเกตอย่างนั้น บัดนี้จิตของเรามันเคยนิ่งเคยเป็นปกติอยู่มันก็เป็นปกติอยู่ ถึงแม้หูเราได้ยินเสียงก็ตาม ตาเราเห็นรูปก็ตาม มันไม่เกี่ยวข้องมันเป็นปกติ นั่นมันก็คอยรักษาเราอยู่

ธรรมะจากหลวงปู่สอ
– พระธรรมเทศนา 17 พฤศจิกายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.] – เทศน์ เมื่อ 5-12 กันยายน 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.] – พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2546 [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.] – ธรรมะจากหลวงปู่สอ [15 มิถุนายน 2552 18:44 น.] ดูทั้งหมด